วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อ...



วันพ่อปีนี้นะ คิดถึงพ่อจัง ทั้งๆที่พ่อก็ไม่อยู่มาสามสิบกว่าปีแล้ว...
แต่พ่อก็อยู่ในใจมาตลอด
พ่อเป็นที่ปรึกษาให้ลูกๆได้เสมอมา
ตอนเรียนอยู่มหา'ลัย พ่อจะเขียนจดหมายสั่งสอนพร้อมกับส่งธนาณัติให้ทุกเดือน(สมัยนั้นไม่มีมือถือ)
ยังเก็บจดหมายพ่อไว้จนถึงบัดนี้ ว่างๆก็ค้นมาอ่านแล้วน้ำตาซึม
พ่อจะเป็นห่วงมาก สั่งเสมอว่าให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ซื้อเสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นอย่าประหยัดมากจนขี้เหนียว (อิอิ พ่อไม่รู้หรอกว่าที่ไม่ไปซื้อ เพราะขี้เกียจไม่ใช่ขี้เหนียว)


มาบัดนี้มีลูกเป็นของตัวเอง สอนลูกเสมอให้รักเคารพพ่อ แม้บางครั้งพ่อลูกจะทะเลาะกัน หน้าบึ้งหน้างอให้กัน พอถึงวันพ่อ เจ้าตัวดีทั้งสองก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนแพมาขอขมาพ่อ แล้วเลยวันพ่อไปก็ทะเลาะกันอีก เฮ้อ... ปีนี้ไปอยู่เวรเลยไม่ได้เอารูปมาฝากตอนทำพิธีขอขมา ข่าวว่า ไปเอาขนมแม่มาไหว้พ่อ เด็ดดอกกล้วยไม้สีเหลืองหน้าบ้านมาด้วย ลูกบอกว่า พ่อพูดว่า "ถึงพ่อปากบ่ดี แต่พ่อก่ฮักลูกเด้อ" แล้วเจ้าตัวดีก็แอบกัดนิดๆว่า "ฮู้ตั๋วเหมือนกันก๊ะ" เออ เอาเข้าไป แต่ก็ชื่นมื่นกันดี.....


เย็นพ่อติดงาน เลยเอาปู่ ป้าแล้วก็หลานๆไปกินข้าวนอกบ้าน ปู่ดูมีความสุข นี่ก็เป็นพ่อนี่นา กระเป๋าเบาไปเลย แต่ก็อิ่มใจบอกไม่ถูก จะมีวันแบบนี้อีกกี่ปี ในเมื่อก็ชราไปทุกวันๆ เมื่อยังเห็นตัวเป็นๆอยู่ก็ทำดีต่อกันไว้ดีกว่าละนะ

กลับจากกินข้าว เปิดทีวีดูข่าวเห็นพ่อหลวงจาก รพ.ศิริราชไปยังที่เสด็จฯออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องจากวันเฉลิมพระชนมพรรษา ดูแล้วก็ตื้นตันใจ ดีใจที่เห็นพระองค์ยังทรงเกษมสำราญ แม้จะต้องเอาใจช่วยขณะที่ทรงมีพระกระแสรับสั่งที่อ่อนเบา ตลอดเวลาที่เราเกิดมาจำความได้ก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักมาตลอด ใครนะที่ช่างคิดได้ว่าทรงสร้างภาพ จะทรงทนสร้างได้มามากกว่าหกสิบปีเชียวหรือ ทำไมเนรคุณกันขนาดนี้ แค่อากาศที่หายใจเข้าไปเราก็ต้องขอบคุณที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ แม่เคยสอนว่า แม้แต่หัวบันไดบ้านที่เหยียบขึ้นลงเราก็ต้องรู้บุญคุณ วันสงกรานต์แม่จะให้ขอขมาหัวบันไดบ้าน ประตูบ้าน รถยนต์แม้จะไม่มีชีวิต แม่สอนเรื่องความกตัญญูต่อสิ่งต่างๆเสมอ เราเองก็พยายามสอนลูกๆอยู่เหมือนกัน เจ้าคนโตมักจะล้อเวลาเราอ้าปากก็จะชิงพูด "ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน" หวังว่าจะซึมซาบไปในใจลูกๆบ้าง เพราะเชื่ออย่างนั้นจริงๆ....

ตอนนี้ก็ขอถวายพระพร "ทรงพระเจริญ" ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ....


วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สติ..รู้โลภะ...



บ่ายวันหนึ่ง ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วย...
หลังจากที่นั่งถามสารทุกข์สุขดิบ ประวัติความเป็นไปเป็นมา จนกระทั่งคุณลุงอนุญาตให้ไปเยี่ยมชมห้องพระได้ ก็พากันยกโขยงไปดู มีพระเครื่อง เหรียญต่างๆเยอะมาก จนบอกกับคุณลุงว่า "น่าจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้อื่นเยี่ยมชมมั่ง" คุณลุงหัวเราะไม่ตอบว่ากระไร แต่บอกอย่างอารมณ์ดีว่า "อยากได้องค์ไหนก็เลือกเอาคนละองค์"ดูไปดูมาชอบใจหลายองค์ ที่เห็นแล้วชอบใจสุดๆคือ เหรียญหลวงปู่แหวน พอเห็นความอยากได้ก็พุุ่งขึ้นทันที แต่สติรู้โลภะเกิด คิดถึงคุณลุงที่ใจดี คุณลุงอาจไม่รู้ว่า ราคาค่างวดที่เขาบูชากันเท่าไหร่ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเราขอมาเกิดมันราคาสูง คุณลุงก็เสียโอกาส หรือลูกหลานคุณลุงรู้เกิดไม่พอใจคุณลุงเราก็จะบาป เลยข่มความอยากได้ คิดว่าเรามีพระธาตุของหลวงปู่อยู่แล้วยังจะต้องการอะไรอีก เลยตัดใจไม่ขออะไรมาเลยสักอย่าง ทีมที่ไปด้วยพากันบูชามาคนละ 3-4 องค์ ในราคาที่ไปบูชาที่อื่นก็ไม่ได้ เพราะเป็นพระเก่า มาที่ทำงานเลยเห็นว่า เหรียญหลวงปู่แหวนที่เราอยากได้น้องเขาบูชามาพร้อมพระอื่น 4 องค์ 100 บาท เลยคิดในใจว่า คงเป็นบุญของเขาที่ได้มาไว้บูชา ส่วนเราก็ไม่เป็นไรยังไงๆเราก็มีพระธาตุอยู่ เย็นวันนั้นหลังกลับไปบ้าน เลยขอขมาแล้วยกผอบที่ใส่พระธาตุมานั่งนับ ....ไม่น่าเชื่อเลย...พระธาตุที่เราแบ่งให้ ผอ.รพ.ไปแล้วทำไมมีจำนวนเท่าเดิม นับอยู่สองครั้งก็ยังมีเท่าเดิม แถมพระธาตุที่ผอ.แบ่งมาให้ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น...ขนลุกเลยด้วยความเลื่อมใส ปิติอย่างมาก อภินิหารจริงๆ ทำให้เราเกิดความศรัทธาในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้ามากยิ่งขึ้น คิดว่าน่าจะเป็นผลจากที่เราปฏิบัติภาวนาด้วย ....สาธุ...

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ



วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

If We Hold On Together

ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอีกเยอะ...ที่สำคัญคิดถึงตอนเด็กๆยังตัวเล็กอยู่ ชอบดูการ์ตูนแล้วก็เลียนแบบไดโนเสาร์เดินไปเดินมา รู้สึกจะมีหมวกที่เป็นหัวไดโนเสาร์ใส่ประกอบด้วยสิ
เอาเนื้อเพลงแปะมาด้วย หัดร้องกันดีกว่า เสริมกำลังใจวันหยุดชดเชยนะคะ

Don't lose your way

With each passing day

You're come so far

Don't throw it away

Live believing

Dreams are for wearing

Wonders are waiting to start

Live your story,

Faith,hope and glory

Hold to the truth in your heart

Chorus :

If we hold on together

I know our dreams will never die

Dreams see us through to forever

When clouds roll by

For you and I

Souls in the wind

must learn how to bend

Seek out a star

Hold on till the end

Valley, mountain,

There is a fountain

Washes our tears all away

Words are swaying,

Someone is praying

Please let us come home to stay

[Chorus]

When we are out there in the dark

We'll dream about the sun

In the dark we'll feel the light

Warm our hearts, everyone

If we hold on together

I know our dreams

Will never die

Dreams see us through to forever

As high as souls can fly

The clouds roll by

For you and....I









วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Yes!!!You can....


วานนี้ สสส.เข้าประเมินโครงการที่ทำร่วมกับคณะพยาบาลฯ มช. ในหัวข้อการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน ผู้ให้ข้อมูลมีพี่ศรีนวล ประธานอสม. พี่วันเพ็ญ อสม.และแม่บ้าน พี่แดงเตือนใจ เลขานายกฯเทศบาลสารภี ตอนแรกอาจารย์ปุยบอกหัวข้อแนวทางการประเมินก็ยังรู้สึกหนักใจ เพราะเราไม่ได้เตรียมอะไร present เลย แต่กัดฟันใจดีสู้เสือ บอกบริบทที่มาที่ไปของโครงการไปตามเพลง แล้วโยนลูกให้พี่ศรีนวลพูด โอแม่เจ้า...คุณพี่พูดได้ดีเกินคาด ช่วยเหลือเราได้เยอะ สุดท้ายก็เป็นที่ประทับใจของอาจารย์ แถมเผื่อมาให้เราว่าจัดเวทีสนทนาได้ดี อิอิ

แอบมากระโดด Yes!!!You can....

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สสส.ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด(อย่างน้อยก็ไม่เหมือน สตง.) และ อะไรๆก็ไม่น่ากลัวทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นเพราะจิตเราคิดไปเอง จิตปรุงแต่งแล้วหลอนตัวเอง....... ถะแลมๆ... จบ!



วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วันนี้เศร้า.....


ดูใจตัวเองวันนี้ ทำไมรู้สึกเศร้า....
ไม่เข้าใจ?...
สองวันสามวันมานี้มีเรื่องราวมากมาย....
จากความไม่จริงใจของเพื่อนมนุษย์
จากการยึดมั่นถือมั่นของคนรอบข้าง
จากการแสดงออกของคนบางคน
ที่ได้แต่เห็นใจไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่านี้
จากการมีอคติต่อกัน
ไม่เข้าใจกันแล้วก็ไม่พูดคุยกัน รออีกฝ่ายพูดก่อน
จนเกือบจะสายไป
ย้อนดูตัวเอง...ทำไมเราไม่นั่งมองเขาเหมือนดูละคร
ทำไมต้องเอาตัวเองเข้าคลุก
จนมารู้สึกเศร้ามากมายเช่นนี้
......................................................

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ว้าว! บุคคล Idol มา comment FBเรา

ไม่น่าเชื่่อที่อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญจะมาสนใจเจ้าถุงเงินของเรา มาcomment ตั้ง4 ครั้งแน่ะ อาจารย์เป็นคนที่เรายอมรับนับถือแนวคิดซึ่งเป็นวิถีพุทธ แต่อาจารย์ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็น Idolได้แบบผสมผสานอย่างลงตัวจริงๆ


สิ่งที่อาจารย์วรภัทร์สอนไว้ คือ แนวคิด Dialogue ที่สอนไว้ในhttp://www.managerroom.com/forums/forum

อยู่รอด คงหมายถึง เรียนรู้ที่จะดูแลตนเองได้ ไม่ทำร้ายสุขภาพตน เอง (ทั้งตั้งใจและ รู้เท่าไม่ถึงการณ์) รู้จัก ใช้พลังชีวิต รักษาดุลยภาพแห่งชีวิต พอเพียงในตนเอง ---ฐานกาย ---- อธิศีล มีความปกติของกาย

อยู่ร่วม หมายถึง เมื่อพอเพียงในตนเองแล้ว ก็อยู่ร่วมกับคนอื่น เชื่อมโยงกับคนอื่นได้ ไม่ทำร้ายคนอื่น เห็นคนอื่นกับเรา เป็นพื้น เป็นสิ่งเดียวกัน ทำร้ายคนอื่นคือทำร้ายตนเอง เห็นสรรพสิ่งกับเราเป็นเนื้อเดียวกัน ในฉันมีเธอ ในเธอมีฉัน --- อธิจิต จิตอาสา จิตผ่องใส จิตโล่งๆสบายๆ

อยู่อย่างมีความหมาย หมายถึง เมื่อ อยู่รอด พอเพียง และ อยู่ร่วม ฝันร่วมกับมนุษยชาติในทางที่ดี ที่พอเพียง ที่ยั่งยืนได้แล้ว ก็เริ่มรู้จัก ค้นหา "ความหมายของชีวิต" ค้นหา "สัจธรรม" อยู่เพื่อการหลุดพ้น พ้นจากทุกข์ อยู่เพื่อสะสมสติ "สมดุลฐานกายใจคิด" ได้แล้ว ---อธิปัญญา (คิดตอนจิตว่าง) ไม่ใช่ เฉโก (คิด ตอนจิตไม่ว่าง)
หาก ยังไม่เจอ จิต ก็กลายเป็น เอาแต่ คิดๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบเฉโก

เรื่อง ของจิต ต้อง ฝึกฐานกายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ก่อน แล้ว เมื่อ รู้ๆๆๆๆๆๆ กาย ก็จะ เห็นจิตว่าง กายผ่อนคลาย

เอา ความว่าง นี่แหละ ไปดู ความไม่ว่าง และ ความว่าง ที่ปรากฏ

*****
Dialogue = shared meaning

ร่วมกันหาความหมายของชีวิต :



ท่าน อจ ฌานเดช พ่วงจีน เมื่อ อธิบายถึง ฐานกาย ใจ และ ความคิด

ท่านก็มักจะเชื่อมโยงว่า ฐานกาย = อยู่รอด คือ เอาตัวรอด เลี้ยงฐานกาย กิน ขับถ่าย สืบพันธุ์ พักผ่อน และ การดูแลตนเอง (สุขภาพของตนเอง)

ฐานใจ = อยู่ร่วม คือ จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ มาทำ Dialogue เพื่อใจสู่ใจ ใจรวมกัน สามัคคี ดังนั้น ทำ Dialogue จึงมักจะไม่ขัดใจกัน

ฐานคิด = อยู่อย่างมีความหมาย เพื่อตอบโจทย์ เพื่อกระทำภารกิจ (Mission) ที่ได้รับมอบหมายมา ในโอกาสที่ได้มาเกิดเป็นคน

เจ้าคำว่า "อยู่อย่างมีความหมาย" นี้ ลึกซึ้งมากนะ .... อยู่ไปเพื่ออะไร เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน ทำไมต้องทำความดี ฯลฯ

**********

ในการฝึก Dialogue นั้น ผมขอเสริมว่า :-

การ Dialogue จริงๆ เป็น การฝึก สร้างตัวรู้ เป็น การฝึก มหาสติ ฯ นั่นเอง

ผู้รู้ มีหน้าที่ "รู้" ผู้รู้มี job description คือ รู้ ๆๆๆๆ

หาก ผู้รู้ ไปทำหน้าที่อื่นนอกจากรู้ เช่น คิด ... ก็ผิดหน้าที่

หากผู้รู้ ไปบังคับจิต ไปบังคับความคิด เราก็เครียด เกร็ง เพ่ง หนัก ก็ไม่ใช่ผู้รู้อีกแล้ว เพราะ ทำผิดหน้าที่

ผู้รู้ คือ อะไร จะค้นหาผู้รู้ในตนเองได้อย่างไร น่าจะเป็น "พื้นฐาน" การทำ Dialogue ที่สำคัญ ไม่ใช่จู่ๆ โดดมาเข้าวง มืดๆ จุดๆเทียน ฟังเสียงเคาะระฆัง ร้องไห้ กอดกัน ฯลฯ มันโดดข้ามขั้นมาเร็วไปนิดหนึ่ง หรือ อาจจะ ไปไม่ถึงที่สุดของการฝึก

การทำ Dialogue เป็นเรื่องของ จิตดูจิต ไม่ใช่ แค่ ดูจิต

ต้องมีผู้รู้่ "หาจิตให้เจอก่อน" รู้จักจิตก่อน เข้าใจจิตก่อน จับสภาวะจิตที่โล่ง โปร่งสบายได้ก่อน เมื่อ หาจิตเจอแล้ว ก็เอาจิตนี่แหละไปดูจิต

ไม่ใช่ ข้ามขั้น ...เอะ อะ ก็จะดูจิต .... มันจะหลงไปเอา "ความคิดไปดูจิต" แทนที่ จะเอาจิตไปดูจิต .... อย่าลืมนะว่า มือใหม่ จิตกับความคิดติดกับหนึบเลย จนกว่า เราจะเอาสติ ไปสังเกต ไปแยกแยะ ว่า เออ นี่จิต อ๋อ นี่ความคิด ...

จิตเมื่อเกิดอาการ ก็ให้ "รู้ ๆ เท่านั้น" ... ไม่ต้องไปร้องห่ม ร้องไห้ หรือ อิน (Sympathy) ไปกับเรื่องเล่า ยกเว้น ครั้งแรกๆ ที่ฝึก ก็ต้องมีเผลอ ร้องไห้ไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่ อย่าถี่ อย่าบ่อย

เมื่อจิตเกิดอาการ ก็ต้องฝืน ข่ม ดับ ละ วาง ฯลฯ หายใจลึกๆ ดีดนิวรณ์ออกไป ฟังแบบจิตว่าง มีสติ ไม่อิน (Empathy) .... หากยอมไหลตามอาการ เช่น ร้องไห้ พิพากษา ยกตนข่มท่าน ฯลฯ อีกหน่อยจะเคยชิน จะแก้ยาก กิเลสจะได้ใจ

ผมชอบคำที่ ท่าน อจ ฌานเดช ใช้บ่อยๆ คือ "ในนามแห่งความดี" ฉันขอพิพากษาเธอ ฉันขอสอนเธอ ฉันเห็นเธอเลว ฯลฯ

หาก หาจิตยังไม่เจอ ยังไม่พบ "ผู้รุ้" ก็จะ หลงได้ง่ายๆ

เมื่อมี ผู้รู้ (ไม่ใช่คน แต่ เป็น สภาวะในกายในใจของเรา) รู้สภาวะจิตของตน รักษาจิตตนให้โล่งๆ เราก็จะเห็นความคิดที่เข้ามาปรุงแต่งจิต

Scharmmer พูดถึง ความคิดนี้ว่า เป็นเสียงภายใน ที่ มี 3 เสียง คือ

เสียงภายในแห่งการตัดสินพิพากษา (VOJ)
เสียงภายในแห่งความผลักไส เหินห่าง (VOC)
เสียงภายในแห่งความกลัว (VOF)
เมื่อ จิตเห็นจิต แล้ว ก็จะไม่ยากเลย ที่จะฟังเชิงลึกได้ ไม่พิพากษาได้ ... ฝึกแบบฝรั่ง บอกก็โอเค แต่ ไม่สุดยอด ....

ฝรั่ง ศึกษา ธรรมะ จากสายธิเบต แล้ว เอาไปประยุกต์ เป็น ตำรา Dialogue บ้าง เป็นตำรา Theory U บ้าง ทั้งๆ ที่ เราอยู่เมืองไทย มีครูบาอาจารย์สายตรง สอนธรรมะตรงๆ แต่ เราก็ยัง อ้อมๆ ไป เอาของฝรั่ง ของ Bohm ของ Senge ของ Wheatley ของ Scharmmer เป็นต้น มาเป็นสรณะที่พึ่ง ... ทำไม ต้องอ้อม เนอะ ??? โอกาสที่ฝรั่ง เข้าใจผิด ก็มีได้นะ ...โอกาสที่ฝรั่ง "สอนถูกทางแต่ไม่สุดทาง" ก็มีนะ ... ถ้าฝรั่งพวกนี้ เก่งมาก ถ้ามาเมืองไทย เจอ หลวงปู่ หลวงพ่อ คงบรรลุธรรมได้อย่างสบายๆ ถ้าไม่โม้สะก่อน เพราะ หลายคน "เขียน ในสิ่งที่ตนทำไม่ได้"

เป็นความรู้ จาก ฐานคิด จำเขามา ประยุกต์เอง ความรู้มือสอง ไปยืนดูข้างเวทีแต่ไม่ไ่ด้เล่นเอง นักข่าว อีกาคาบข่าว เครื่องทำสำเนา ฯลฯ



ทำตัวเรานี่แหละให้เป็นที่พึ่งของตน ฝึกๆๆๆๆๆๆๆ ทำซ้ำๆๆๆๆๆ สร้างบา (Bar) หรือ บารมี ให้มากๆ ( บารมี แปลว่า มี ขั้น ซ้อนๆๆๆ ทับๆๆๆ สูงขึ้นไป .. นึกถึง บาร์ โหนขึ้นไป สูงขึ้นไป ... อย่าไปนึกถึง bar ที่แปลว่า ร้านเหล้า) .... บารมี ๑๐ ทัศ เคยอ่านไหม

หลวงปู่ หลวงพ่อ ของไทย เรา มีหลายรุปที่ เก่ง และ ปฏิเวธแล้ว เป็นบัณฑิต ของจริงแท้ ยิ่งกว่า ฝรั่ง สอนเรื่อง จิตดูจิต ได้ตรงๆ เป็น คุรุ (guru) ด้าน Dialogue จริงแท้แน่นอน ....เราควร เอากาย เอาใจ เข้าไปศึกษา สร้างความเพียร ค้นหา ตัวจิต ค้นหาตัวผู้รู้ (ในกาย ในใจ ของเรา) เมื่อแยก จิตและความคิด ได้ชัดเจน ... ก็จะเอาไปประยุกต์ได้หมดเลย


ยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆอาจารย์เลยนะ....แต่ก็ปลื้มมากมาย....

สักวันนะ คงมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆกะเขามั่ง.......

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

งานถมหัวต๋ายอ้องแระ


โหย... คิดว่าข้าเจ้าบ่อยากกระจายงานกา มันบ่ใจ้ Job ของเขาน่ะ ขืนกระจายเป็นโดนก่า แค่นี้ก็ร้องเพลงหยังยังบ่ถูก
คน PCU มันน้อยนะ ทีสอ./รพสต.ข้างนอก ประชากรน้อยกว่าเราตั้ง3-4 เท่า เจ้าหน้าที่ยังเยอะกว่าเราอีก ทำงาน PCU ยังไม่พอนะ ขึ้นเวรช่วยOPD อีก งานจรอีกละ ไม่ทำได้ป่าว? สารพัดเลยแหละ งานชุมชนไม่ได้ว่างเว้น เสาร์อาทิตย์ไม่ได้หยุด ให้ใครมาเป็นหัวหน้า PCU ก็ไม่มีใครเอา ถามหัวหน้าเก่าเขาซี ตอนนี้ "ไค่หัว เอิ๊กๆ" หลุดจากตำแหน่งได้ แทนที่จะเสียใจนะ เนี่ย...รอตัวตายตัวแทนอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีใครหลวมตัวมาเลย แงๆๆๆ

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ตื่นตีสามกว่าไปแม่อาย อบรมแผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ให้ อสม. 112 คน มีรองนายก สท. ไปด้วย นายกไปตอนเย็นปิดพิธี อิอิ ก่อนไปก็เตรียมตัวก่อนนะคะ ไม่ได้อยู่ในอองออหมด อปท.หรือ อสม.ถามตอบไม่ได้เด๋วเสียเซ้ลฟ์ ถึงแม้จะมีนักวิชาการเป็นวิทยากรหลัก ก็ต้องเป็นวิทยากรกลุ่ม+กระบวนการด้วย

วันนี้เตรียมงานโครงการ สสส.เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้อีก สั่งงานเป็นอย่างๆ กลัวลืมนั่นลืมนี่ เพราะจะไม่อยู่ รพ. สองวัน ประสานตั้งแต่เรื่องทำป้าย วิทยากร เอกสารคู่มือ อุปกรณ์ใช้ในงาน แม้กระทั่ง Schedule

พรุ่งนี้ต้องตื่นตีสี่เดินทางตีห้าไปเชียงรายงาน KMหน่วยบริการปฐมภูมิ พุธหน้าก็มีงานสุขาภิบาลอาหารของแม่บ้านอีก หนังสือเชิญคนมาอบรมยังไม่ได้ทำเลย "หนักง่อนเติ๊บเปิ้บ" เลยตอนนี้ เห็นทีงานถมหัวต๋ายอ้องแระ

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

วิเคราะห์ตัวเอง...บ้างก็ดี

ช่วงนี้ลาพักผ่อน...อยู่บ้าน ทำงานบ้านบ้าง เล่นเน็ตบ้าง เล่นเกมส์บ้าง(ลูกทิ้ง nintendo ไว้ให้) กำลังจะเขียนใบขอย้ายจุดที่ทำงาน เพราะคิดว่าไปเจอของใหม่ๆบ้างหรือมันก้อท้าทายดีนะ แต่ทบทวนตัวเองแล้ว ทำไม้..ทำไมเราย้ายบ่อยจังนะ อยู่สวนดอกก็ย้ายไปดอยเต่า อยู่ดอยเต่าก็อยู่ทั้งฝ่ายสุขาฯ ไปอยู่ห้องยาแป๊บก่อนย้ายมาสารภี อยู่สารภีก็อยู่IPD จนไต่เต้าขึ้นเป็น Head ละนา ไปเรียนต่อกลับมา ก็ยังย้ายไปอยู่ฝ่ายส่งเสริมฯ(ขณะนั้น... PCU ปัจจุบัน) แล้วก็ย้ายไปช่วยอนามัยไชยสถาน ท่าวังตาล ก่อนย้ายเข้าฝ่ายแผนงานฯ(ขณะนั้น...ฝ่ายยุทธศาสตร์ ปัจจุบัน) จากนั้นก็ย้ายกลับไปช่วยอนามัยอีก หนองผึ้งกับยางเนิ้ง ก่อนจะย้าย จ.ลงยางเนิ้งจริงๆจังๆ แล้วก็ย้ายไปอนามัยชมภู จนย้ายกลับมา PCU สารภีในที่สุด มาถึงวันนี้ก็จะย้ายอีกแล้วหรือนี่
แต่ละที่ที่เราไปก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะจับจด เรายังได้สร้างอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันอยู่ พัฒนาให้ดีขึ้นแล้วก็ย้าย ทิ้งนวัตกรรมให้แต่ละที่อยู่นี่นา เหอะๆ ลองดูนิสัยตัวเองตามที่เคยอบรมสุนทรียสนทนาหน่อยซิ

นิสัยสัตว์สี่ประเภท

วัวกระทิง อยู่ทิศเหนือเป็นธาตุไฟ มีนิสัยมุ่งมั่นกระทำการเน้นปฎิบัติเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ทางตรง กล้าเผชิญอุปสรรคชอบความท้าทายผลสำเร็จเปิดเผยรักษาภารกิจตรงไปตรงมา (ให้นึกฝึกวัวป่าในซาฟารี่) มีคุณลักษณะของความมุ่งมั่น (Will Power) เป็นทิศแห่งความมุ่งมั่น เมื่อต้องทำสิ่งใดแล้วทำให้ถึงที่สุด เคลื่อนไหวรวดเร็ว ถ้าใครพยายามจะไปหยุดกระทิงจะทำให้เขาอึดอัด เป็นทิศที่มุ่งมั่นมีเป้า และวิ่งชน ต้องการบรรลุความสำเร็จ ถ้าใครมีความเป็นกระทิงอยู่มากก็จะมีบุคลิกที่เป็นคนเก่ง กล้าแสดงออกไม่กลัว เป็นทิศของนักรบ ทิศของผู้ที่เผชิญหน้ากับความเสี่ยงความท้าทาย ชอบอยู่แนวหน้า ชอบจัดการคลี่คลายกล้าวิ่งชนกับปัญหา ชอบคำชม ต้องการผลงาน ภาพภายนอกของกระทิงเนื่องจากมีความมุ่งมั่นสูง ทำอะไรต้องให้สำเร็จ ฉะนั้นหากใครไปขวางเข้า ก็อาจจะโดนชนโดยกระทิงไม่ได้ตั้งใจได้ ภาพภายนอกอาจจะดูมุทะลุดุดันก้าวร้าว แต่จริงๆ ภายในจิตใจอ่อนโยน และพร้อมจะปกป้องลูกน้อง พรรคพวก และคนที่รัก กระทิงจะอยู่กันเป็นกลุ่มก็ต่อเมื่อเป็นกลุ่มของการปฏิบัติ กระทิงอาจจะรู้สึกหงุดหงิดกับคนที่ช้า ไม่ทันใจ

นกอินทรี อยู่ทิศตะวันออกเป็นธาตุลม มีนิสัยคิดเร็ว มองไกล เชื่อมโยง รู้รอบด้าน เปลี่ยนเร็ว คิดสร้างสรรค์ รักอิสระ ทางรอด ชอบเรียนรู้ ชอบเรื่องใหม่ ๆ การมีชีวิตอยู่คือการคิดอะไรใหม่ๆ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การกระทำไม่สำเร็จ แต่อยู่ที่การได้คิดถือว่ามีคุณค่าแล้ว คิดแบบนอกกรอบ ไปใน ๆ ไม่เคยไปเป็นพวกเจ้า PROJECT ฝันทั้งวัน บางทีอาจฟุ้งซ่านชอบขายฝันแต่ไม่ลงมือทำ

หนู อยู่ทิศใต้เป็นธาตุน้ำ มีนิสัยรักษาสัมพันธ์ภาพมาก่อนอารมณ์ความรู้สึกรอบคอบประสานกลมเกลียว ผ่อนปรน พยายามหลีกเลี่ยงการกระทบหรือการเผชิญหน้าดูแลจุดยืนความต้องการของผู้อื่นตอบสนองความต้องการของผู้อื่น อ่อนโยน เป็นพวกที่พยายามดึงผู้คนมารวมกัน อยู่กับผู้คนได้มากมาย เพราะความเป็นชุมชนและสัมพันธภาพนั้นหล่อเลี้ยงชีวิตเขา จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เขารู้สึกดีมีความสุข

หมี อยู่ทิศตะวันตกเป็นธาตุดินมีนิสัยใคร่ครวญ วิเคราะห์รอบคอบ ข้อมูลครบถ้วน ตรรกะมีเหตุผลระบบ ระเบียบ วินัย เสถียรภาพ พิจารณา ความชัดเจน ควบคุม คาดการณ์ได้ ไม่ชอบความไร้ระเบียบแบบแผน เป็นนักเฝ้าสังเกตไม่ชอบเข้าไปเกาะติดนัวเนีย จะมีระยะห่างจากสิ่งที่เข้าไปศึกษาพอสมควร ไม่คลุกคลี มีพื้นที่ของตัวเองชัดเจน มีความสันโดษ ไม่ชอบสังคมวุ่นวาย มีเพื่อนไม่กี่คน

คิดว่าเราน่าจะเป็นกระทิงด้วยความที่บุกๆลุยๆ มีความมุ่งมั่น ทำให้สำเร็จ แต่...น่าจะเป็นอินทรีอีกง่ะ ไม่อยู่กับที่ ชอบอิสระ ขายฝันอยู่แต่พอไม่มีคนทำก็ทำซะเอง แล้วก็เหนื่อยเองไง เพราะมี PORJECT มากมาย ดูนิสัยหมีก็น่าเป็นตรงที่สันโดษ ไม่ชอบสังคมวุ่นวาย แต่รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนูน้อยมาก....

แล้วไงเนี่ย...ดูนิสัยตัวเองแล้วก็คงต้องทำความเข้าใจตัวเอง จะย้ายอีกมั้ย....เฮ้อ! Whatever will be,will be

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นำเสนอผลงาน

ใกล้สิ้นปีงบประมาณแล้วหนอ ก้อต้องมีการนำเสนอผลงานกันก่อน ไอ้จะทำ power point ธรรมดา แบบเดิมๆ ก็ชักเซ็ง ขี้เกียจบรรยายด้วย ทำ multimedia ละกัน จะใช้โปรแกรมไหนน้อ windows movies maker ก็ไม่สวย ตัวหนังสือแตกอ่านไม่ออก โปรแกรมที่เป็น demo ก็ดันมีตัวอักษรมั่ง อะไรมั่งโฆษณาให้ซื้อของเขา พอดีลูกเล่น FB เลยแชทถามไป ลูกเลยบอกใช้ power point น่ะแหละ แต่เพิ่ม ลูกเล่นไป ออนเอ็มแล้วลูกก็บอกเป็นขั้นตอนอย่างนี้แล....
Chairin says:
*ยะได

tim says:
*ก่อนอื่น ทำตามนี้
*ดูแท็บด้านบน
*กด Insert
*แล้วดูตรงขวาสุด
*รูปลำโพง Audio นั่นแหละ
Chairin says:
*เจ้า

tim says:
*จิ้มมัน
*เลือก Audio from file..
*ละแม่ก่อเลือกเพลงที่ต้องการ
*(ตรงนี้จะรอสักครู่นึง มันจะโหลดเพลงมาใส่)
Chairin says:
*มีรูปลำโพง
*สไลด์เดียว

tim says:
*เดวก่อนจิ
*ดูแทบด้านบน
*จะโผล่มาเพิ่ม 2 อัน
*Format กะ Playback
*จิ้ม Playback
*ทีนี้ตรง Audio Options
*มันจะมีไอ้ที่จิ้มแล้วมีตัวเลือกโผล่ (เรียก combobox)
*ปกติตอนนี้มันเป็น Onclick
*จิ้มมัน แล้วเลือก Play across slides
*แล้วมันจะมีที่ติ๊ก (เรียกเช็คบ็อก) ให้จิ้ม Loop until Stopped
Chairin says:
*เด๋วๆ มันขึ้น options บ่มีสองอันนั่นลอ

tim says:
*เหะ =[]=
*งั้นลองหาดู จาก แท็บใหม่ที่มันโผล่มาง่ะ
*มันจะมีฮื้อเลือก
*(ติมไม่ชัวร์ เพราะตอนนี้ใช้ 2010 แต่ฟังก์ชั่นเล่นเพลงข้ามสไลด์นี้มันมีมาตั้งกะ 2003 ยังไง 2007 ก็ต้องมี)
*แม่ลอง printscreen แล้วส่งมาฮื้อดูลอ
*
* You cannot send this file because it appears to be in use. Close the program that is using this file and try again.
*
Chairin sends:


*
* Transfer of "Doc1.doc" is complete.
*
tim says:
*เออน่ะ
*เห็นคำว่า Play Sound ก่อ
*ที่มันมีรูปสายฟ้า
Chairin says:
*เจ้า

tim says:
*จิ้มมันแล้วลองเปลี่ยนดู นอกจาก Automatically แล้วมีอะหยังแหม?
*(เช็คถูกที่ Loop until Stopped โตยเน้อ)
Chairin says:
*play across slide

tim says:
*อันนี้แล
*ที่ทำให้เปลี่ยนหน้าแล้วเพลงมันยังเล่นอยู่
Chairin says:
*อ่อ

tim says:
*จิ้ม Play across slide ทำให้
1 เพลงเล่นเอง
*2 เปลี่ยนหน้าแล้วเพลงยังเล่นต่อเนื่องอยู่
Chairin says:
*ได้ละ ขอบใจลูกรัก
*ติมช่างเก่งเสียนี่กระไร

tim says:
*เช็คถูกที่ Loop until Stopped ทำให้ถ้าเล่นเพลงจบ มันจะเล่นเพลงเดิมซ้ำ
Chairin says:
*เจ้า

tim says:
*แค่นี้แหละจ้ะ
Chairin says:
*เด๋วๆ

tim says:
*แต่ถ้าจะทำสไลด์แบบบ่ต้องคลิก ก่อไปปรับเวลาเปลี่ยนสไลด์เอา
Chairin says:
*อันนี่ที่จะถาม
*ยะได

tim says:
*เดวเน้อ
*อะ โอเค
*ก่อนอื่น ไปจิ้มแท็บด้านบน
*Transitions
*ดูด้านขวาสุด
*จะมีหัวข้อ Advance Slide
*มีช่อง On Mouse Click (ติ๊กออก ถ้าบ่อยากให้คลิกแล้วเปลี่ยนหน้า)
*กะช่อง After << ช่องนี้ติ๊กมันเหีย แล้วปรับเวลา 00:00:00 คือ
นาที : วินาที : เสี้ยววินาที
*แล้วกด Apply To All
*(ทุกหน้าจะเปลี่ยนเองด้วยเวลาเท่ากันหมด)
*ถ้าจะให้เวลาไม่เท่ากันก็ไปจิ้มหน้าที่อยากเปลี่ยนเวลาแล้วปรับตรง After นี้
*ยะได้ยัง?
Chairin says:
*กะลัง
*ได้ละ คราวนี้complete Thanks my son.

tim says:
*อิอิ
Chairin says:
*ได้ใช้ประโยชน์จากลูกหลายน่อ
*มิเสียแรงส่งเฮียน

tim says:
*อั้นหวะ
Chairin says:
*แม่จะเอาไปเขียนบล็อก
*จะได้บ่ลืม

tim says:
*ฮาาา จ้า
*เผื่อสอนคนอื่นโตย
Chairin says:
*เจ้า

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไปเตรียมเสบียงเลี้ยงตัวมาจ้าาา..


วันแม่ปีนี้ไปหาแม่ล่วงหน้า อยู่ให้ลูกๆนัดกินข้าวล่วงหน้า พอวันที่ 12 ก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระบาทตะเมาะ จนถึงวันที่ 15 ได้อยู่กับตัวเอง ให้เวลาตัวเองเต็มที่ เตรียมเสบียงบุญ เผื่อตายวันนี้พรุ่งนี้จะได้ไม่เสียใจว่า ทำไม่ทัน ออกจาก รพ.จุดนัดพบเวลา 10 โมงกว่า ตอนแรกคิดว่าไปกันหลายคน แต่ปรากฎว่า มีไปจริง7 คน พี่เจี๊ยบเอารถไปส่ง ขออนุโมทนาบุญ ไปถึงวัดก็เกือบเที่ยงแล้วพี่เจี๊ยบอีกนั่นแหละที่เตรียมข้าวปลาอาหารให้กินกันอิ่มหนำสำราญ รอพี่รัตน์กับสามีมารับศีลแปดก่อนเข้าที่พัก เรานอนกับอาจารย์ บ่ายแก่ๆ น้องนายตามมาอยู่ด้วย ตอนแรกว่าจะนอนห้องข้างล่าง พอถึงเวลาเข้าจริงขนกระเป๋ามาขอนอนด้วย เลยได้นอนกับอ.อำไพ เรานอนอีกห้องหนึ่งคนเดียว ค่ำไปทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ กลับที่พักเกือบสามทุ่ม นั่งสมาธิต่ออีกหนึ่งชั่วโมง
เช้าตีสามกว่า ตื่นมาทำวัตรเช้า นั่งสมาธิ เดินจงกรม คราวนี้ดีหน่อยที่ไม่ได้ออกไปเดินข้างล่างเหมือนคราวที่แล้ว เพราะทั้งโดนยุงกัด มดกัด ต้องระวังไส้เดือนอีก สายหน่อยกินข้าวแล้วก็พักก่อนไปปฏิบัติอีกตอน 10 โมงกับพระอาจารย์ญี่ปุ่น 11 โมง ลงมากินข้าวกัน แต่เรากินมื้อเดียวเลยนั่งเป็นเพื่อนกับหลายๆคน อ.อำไพกับน้องนายกลับบ้านวันนี้ เราต้องอยู่คนเดียวในบ้านทั้งหลัง 555+ครองความยิ่งใหญ่เพียงผู้เดียว แต่เสียวสันหลังจังว่ะ บ่ายไปปฏิบัติอีกจนถึงสามโมง กลับเข้าที่พักห้องโล่งเลย สองคนนั่นไปแล้ว... เลยเดินจงกรมต่ออีก ก่อนไปอาบน้ำ
6 โมงครึ่งไปทำวัตรเย็น ปฏิบัติต่อตามปกติ และแล้ว..ก็ได้เวลาอยู่กับตัวเอง คนเดียวจริงๆ ..ได้กลิ่นเหม็นอะไรโชยมา เลยสวดมนตร์ แผ่เมตตาบอกไปว่าต่างคนต่างอยู่นะจ๊ะ มาปฏิบัติธรรม มาอนุโมทนาบุญได้ภพภูมิที่ดีขึ้นก็อย่ามากวนกัน ข้าเจ้ากลัวนะ แล้วเอา MP3เสียบหูฟังธรรมะนอน ว่าจะเปิดไฟนอน ซักพักได้ยินเสียงกุกกักที่หน้าต่าง ลืมตาดูปรากฎว่าตุ๊กแกตัวเบิ้อเริ่ม ตาโตสะท้อนแสงไฟสีแดงแจ๋ ไอ๊ย่า ! เลยบอกว่าไปกินแมงที่อื่นนะ เดี๋ยวเปิดไฟข้างบ้านให้ไปกินแมงที่โน่นไป แล้วเลยต้องปิดไฟนอน ข่มใจหลับปลอบตัวเองว่า พรุ่งนี้พี่เจี๊ยบก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนละ หลับๆตื่นๆจนกระทั่งได้เวลาไปทำวัตร

วันนี้พระอาจารย์จะพาทัวร์ป่า แต่เราเคยไปแล้วขออยู่ปฏิบัติที่วัด เพราะตอนเช้าวันนี้ตอนเรานั่งสมาธิเห็นดวงแก้วเป็นสีๆ เห็นลักษณะเหมือนโครงกระดูกเล็กๆในดวงแก้วใสด้วย ถามพระอาจารย์ก็ว่า ลักษณะนี้เหมือนเราจิตนิ่งขึ้นแล้ว เลยมีกิเลสอยากปฏิบัติต่อให้จิตนิ่งยิ่งขึ้น บ่ายไปนั่งสมาธิคนเดียวในมณฑป ก็เห็นดวงแก้วแล้วก็เหมือนแว่นขยายส่องไปที่ปอดกับกระเพาะอาหาร ในใจรู้ว่ามีพังผืดแล้วร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเอง ก็ไม่รู้ทำไมเห็นอะไรอย่างนั้น ไม่ได้คิดนึกด้วย เออ เอาวะ จะทำอะไรก็ทำไป แล้วดวงแก้วนั้นก็หายไป รู้สึกเหมือนเข้าภวังค์แต่ไม่ลึก ยังได้ยินเสียงรอบข้างอยู่แต่ไม่ได้สนใจ นั่งภาวนาดูลมหายใจต่อจนเวทนาแก่ขึ้นตามลำดับเลยออกจากสมาธิ รู้สึกโปร่งโล่งขึ้น ลงจากมณฑปซักพักคณะทัวร์ป่าก็กลับมา พี่เจี๊ยบมาถึงพร้อมสามี แล้วก็ แป่วว! เราต้องอยู่บ้านนั้นคนเดียวอีกละคืนนี้ เหอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

เย็น ทำวัตรเย็นแล้วปฏิบัติต่อจนถึงเวลากลับที่พัก วันนี้บอกบุญรอด หมาสามขา(amputateไปหนึ่งขา) ว่า "ไปเฝ้าหน้าบ้านให้หน่อยนะ แม่อยู่คนเดียวง่ะ" มันก็ไปจริงๆ นอนเฝ้าหน้าบันไดบ้าน เลยอุ่นใจ หลับสนิทตลอดคืนเลย ขอบใจนะบุญรอด









วันนี้กลับบ้านแล้ว รู้สึกโปร่งขึ้นมาบ้าง ถึงบ้านจะปฏิบัติต่อได้แค่ไหนนี่ มีแต่สิ่งกระทบ สิ่งเร้า แต่ก็ค่อยทำไปละกันนะ อย่างน้อยก็ได้เริ่มแล้ว

ขออำนาจบุญกุศลที่ได้ทำมาแล้วนี้จงเป็นพลวปัจจัยเป็นนิสัยตามส่งให้เกิดปัญญาญาณต่อไปด้วยเทอญ...

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แม่...ผู้ยิ่งใหญ่ของลูก



เมื่อวานกลับบ้าน ไปหาแม่..
แม่ดูหน้าตาผ่องใสมาก ดูสงบอิ่มเอิบทั้้งๆที่เท้าพลิกมาสองวันก่อน ทำกับข้าวกินกันแล้วก็มานั่งคุยกันสัพเพเหระ เรื่องธรรมะบ้าง เท่าที่ฟังแม่ปฏิบัติไปได้มากพอสมควร ทำให้แม่สามารถสงบได้แม้เวลาเจ็บป่วย แม่จะหลับหัวค่ำตามประสาผู้สูงอายุที่มักตื่นตอนดึก แต่แม่ตื่นประมาณตีสามเห็นจะได้แล้วก็ยืดเส้นสายโดยการบริหารร่างกายง่ายๆ เลยบอกแม่ว่าลองใช้ตำรับโยคะที่กำหนดลมหายใจไปด้วยจะได้ประโยชน์มากขึ้น แม่บอก "ออกกำลังกายแล้วไม่ค่อยปวดหลังปวดเอว" จากนั้นแม่จะทำวัตรเช้าพร้อมวิทยุ แล้วนั่งสมาธิถึงตีห้าครึ่งแล้วจะงีบไปอีกเล็กน้อย พอเจ็ดโมงก็ตื่นมาทำกิจวัตรประจำวัน พอกลางวันก็ฟังวิทยุคลื่นธรรมะบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง แม่บอกว่าแม่ไม่เคยเหงาแม้อยู่ตามลำพังตอนกลางวัน
ก่อนกลับบ้านพี่ชายเอาพวงมาลัยดอกมะลิมากราบแม่ พวกเราเลยพากันกราบขออโหสิกรรมแม่ เพราะจะไปปฏิบัติธรรมจะได้ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรขัดขวาง แม่อวยพรว่า "ขอให้ปฏิบัติได้ไม่มีอะไรข้องขัด ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้เจโตปริยญาณ ให้ได้นิพพานในที่สุด" แม่จ๋า นั่นมันยิ่งใหญ่มากนักนะแม่ เหอะนะ..ชาตินี้ได้ไปบ้างก็ยังดี
แม่อายุ 83 ปีแล้ว จะอยู่กับเราไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้ แต่แม่ก็เตรียมเสบียงบุญของแม่ไปเยอะอยู่ อย่างน้อยแม่ก็คงมีสุคติเป็นที่ไปอย่างไม่ต้องสงสัย...

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เอามาทามม้ายยย...




ตีหนึ่งกว่ามั้งที่ตื่นมาพร้อมกับเสียงแมวน้อยที่คุณชายเก็บมาให้ บอกง่าย ๆว่า "มันขี้อ้อนดี" หุ หุ ท่านจารู้มั้ยเนี่ยยย เลี้ยงแมวมันต้องทำไงมั่ง

ก่อนอื่น พอได้แมว(ผอมกระหร่อง)มาก็ต้องพาไปหาหมอหยอดยาฉีดวัคซีนให้ยาถ่ายพยาธิ แล้วก็นัด แล้วก็หาอาหารแมวเด็กให้กิน อาบน้ำ จนกระทั่งมันโต อ้อ ยังก่อน ต้องผ่านด่านเจ้าถิ่นเดิมก่อน ฉะนั้นไม่แปลกอะไรที่จะมีเสียงขู่ฟ่อ ๆ ประมาณคลิปแมวด่าแมวข้างล่างนี้ แถมยังมีเจ้าสตังค์จอมอิจฉาอีกที่วิ่งวนไปวนมาดู ปานประหนึ่งเป็นอะไรที่แปลกประหลาดยิ่งนัก เวลาเราอุ้มเจ้าตัวเล็กก็จะตะกุยตะกายกางเกงพ่อมานแม่มานจนเปื้อน
ถ้าเจ้าตัวเล็กโต หากชีเป็นผู้หญิงก็ต้องทุกข์กับเสียงแมวหง่าวเมื่อถึงเวลาติดสัด หากเป็นผู้ชายก็จะหายหน้าไปหลายวันกลับมาพร้อมบาดแผลให้เยียวยา หากชีตั้งท้องก็ต้องรับเลี้ยงลูกแมวน้อยๆอีกที่จะแพร่พันธุ์ต่อ ทำแท้งก็บาป ฉีดยาคุมก็เสี่ยงมดลูกเน่า ตายทั้งกลมอีก หรือไปทำหมันทันก็ต้องดูแลหลังผ่าตัดอีก ซึ่งก็ทำให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนราว ๆ 2-3 วัน ต้องเสียสละเสื้อยืดทำเสื้อกันชีกัดแผลให้คุณหมอดุแม่มานอีก เอายาให้กินก็เสี่ยงกับโดนข่วนหรือกัดมือ เฮ้ออออ.....

แค่นี้นะ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ไม่นับที่ต้องหาข้าวหาน้ำให้กินอีก ไปไหนทีก็ห่วงว่าจะไม่ได้กินข้าว
แล้วดูหน้าตาก็ขี้เหร่ชะมัด ขนาดเขาจะเอาแมวเปอร์เซียร์ขนปุยให้ อุตส่าห์กัดฟันไม่เอา แต่นี่...
ช่างเอามาด้ายย...



วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องของสตังค์ภาค 2


ไม่ได้เล่าเรื่องสตังค์ตั้งนาน สตังค์โตขึ้นเยอะแต่ยังผอมอยู่(เหมือนแม่มานเลย)
หน้าเหมือน อีที ขี้อิจฉา เวลาแม่กลับบ้านจะรีบวิ่งมา present face (เอาหน้า) ถ้าถุงเงินมาหาแม่ก็จะคร่อมถุงเงินไว้ไม่ให้แม่ลูบตัวถุงเงิน
สตังค์จะไม่ให้เรียกหานานเหมือนถุงเงิน แค่เรียก "สตังค์มา" อยู่ที่ไหนก็วิ่งหัวซุกหัวซุนมาหา ชอบคิดว่าตัวเองเป็นแมว(มั้ง) ชอบกินปลากระป๋องคลุกอาหารเม็ดแมกซีมา แต่ไม่ให้กินบ่อยกลัวเป็นโรคไต ส่วนใหญ่ต้มซี่โครงไก่มั่ง ตับไก่มั่งราดอาหารเม็ดให้ ไม่งั้นไม่กิน
ชอบกินปลาเส้นทาโร เวลาอาบน้ำต้องจ้างด้วยทาโร ไม่งั้นก็อย่าหวังจะอาบ
(ซกม่กมาก)
พ่อจะรักมาก แต่ไม่ค่อยให้ข้าวสตังค์เลยเนอะ
สตังค์ทำหมันแล้ว เลยไม่ค่อยห่วงว่าจะไปแด๋ดแด๋ที่ไหน ก็แม่ไม่อยากมีภาระมาอีกนี่นา อย่าว่าแม่ใจดำนะที่ทำให้สตังค์หมดโอกาสเป็นแม่ แค่สตังค์ตัวเดียวแม่ก็เป็นห่วงมากมายแล้ว ไม่อยากมีห่วงเพิ่ม เข้าใจมั้ย (เข้าใจพูดให้ตัวเองดูดี อิอิ จริงๆแล้วแม่ขี้เกียจ)
ถึงอย่างไรแม่ก็รักสตังค์มากน้าา แต่ลืมเอาตังค์ไปหยอดยาถ่ายมาอาทิตย์นึงแระ พรุ่งนี้ค่อยไปนะ หมอจะว่าไหมเนี่ย ลืมอีกแระ.....



วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อิ่มจังงงง...



วันนี้อยู่บ้าน.....
ท่องเว็บท่องบล็อกไปเรื่อยๆ
จนเจอกับก๋วยเตี๋ยวต้มยำ น่ากิน...น่ากิน
ลองทำมั่งดีกว่า
ไปตลาด ซื้อโครงไก่ต้มน้ำซุป 12 บาท
ลูกชิ้น 45 บาท(ได้ตั้งถุง ใช้แค่ 10 บาทมั้ง)
ผักคึ่นช่าย 5 บาท
ตับหมู 30 บาท(ใช้เพียง 10 บาท เหลือพรุ่งนี้ทอดตับกินกะข้าวนึ่งอุ่นๆร้อนๆ)
โหยย.. เท่านี้เอง ของอื่นๆก็มีในบ้าน ถั่วลิสง พริกไทย กระเทียมเจียว พริกป่น น้ำปลา น้ำตาล มะนาว ผัก

ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูนะ อร่อยมากกกก กินหมดเลย ลืมถ่ายรูปก่อน อิ อิ เบิ้ลตั้งสองชาม

เนี่ย!!ถ้ากินกันแค่นี้ คงไม่ต้องโลภโมโทสันมากมาย ก็อิ่มเหมือนกัน ได้สารอาหารครบด้วย

อิ่มจังงงง...เสียตังค์น้อย

สงสัยเป็นเศรษฐีแน่เรา เอิ๊กๆๆ

เศรษฐกิจพอเพียงจ้าาา....

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

อึ้งค่ะ....

จาก FW:

วันที่ในหลวงเสด็จกลับวังสวนจิตรลดา เรากะพ่อนั่งดูทีวีกัน
ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทอดพระเนตรสายน้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า ข้างพระองค์...มีคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนซื่อสัตย์ ...
...................................................................................
พลันก็มีเสียงพ่อพูดเบาๆ เล่าเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราอยากส่งต่อ......
พ่อเล่าถึงเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่งคุยกันระหว่างจิบเบียร์ในคืนที่ฝนตก พรำๆ เพื่อนรักของพ่อคนนั้นเล่าว่า...

วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ แท็กซี่ก็พูดเรื่องราวต่างๆ มากมายอย่างที่แท็กซี่สมัยนี้ชอบพูดกัน เพื่อนพ่อนั่งฟังอยู่สักพักก็บอกกับคนขับว่า ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม
ผมไม่ใช่สีอะไร หรือเสื้อสีอะไรทั้งนั้น แต่แค่สงสัยว่าคนไทยเป็นอะไรกัน..

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปแย่งอำนาจการปกครองมา
มีครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่แสนจะธรรมดาหลบหลีกความวุ่นวายขณะนั้น
ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ณ แดนไกล อาศัยอยู่ตามอัตภาพในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง
จากนั้นเมื่อคนกลุ่มที่ได้อำนาจตกลงกันไม่ได้ ก็ตามให้ครอบครัวนั้นกลับมา
แล้วคนในครอบครัวเล็กๆ ธรรมดานั้นก็ทำงานให้คนไทยมาตลอดทั้งชีวิต อย่างทุ่มเท แล้วพอวันเวลาผ่านไป...จู่ๆ ก็มีคนมาไล่คนๆ นั้นที่ทำงานอย่างไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน...
คุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อเขามีอายุมากขนาดนี้
ถ้าเป็นผมครบ 60 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาตรากตรำทำงานอีก
ผมเองนี่ก็ใกล้แล้ว นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
คุณจะให้เขาไปอยู่ไหน...
คนไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว...

ความคิดที่ไม่ซับซ้อนของเพื่อนพ่อ และการเล่าเรื่องที่ฟังง่ายๆ
แต่เราว่ามันลึกซึ้งเหลือเกินในความรู้สึก

เราคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่หรอกที่นิ่งอึ้งไป
เราก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอ
คุณก็คงเหมือนกัน... ถ้าคุณยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอยู่บ้าง
ท่านที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทย
ท่านที่ใครมาบอกว่าร่ำรวยที่สุดในเอเชียอะไรนั่น (คุณคิดเช่นนั้นหรือ)
ท่านผู้ทรงไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเหมือนที่หลายคนทำ
ท่านที่ทรงเป็นพระ ผู้ให้คนไทยมากว่า 60 ปี
ท่านผู้ทรงมีพระชนมายุกว่า 80 พรรษา
คุณอยากได้อะไรจากท่านอีกหรือ
คุณเคยทำอะไรให้ใครเท่าท่านผู้นี้หรือไม่...

.....................................................................................

ใครที่คิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่มีประธานาธิบดีแทนที่
อ่านเรื่องนี้แล้ว....ถ้ายังมีสมองอยู่ภายในกระโหลก
สำนึกสำเหนียกกันบ้างหรือเปล่า
ยังจะทำให้พระองค์หมดความเชื่อมั่นในพสกนิกรของพระองค์ได้อยู่หรือ
ในเมื่อ...ที่ที่พระองค์จะมีความสุขได้ก็คือ
"อยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์"

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ขำๆ

16 เมษา. 2553 11:39 น.

เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 16 เมษายน 53 กำลังเจ้าหน้าที่จากกองปราบปราม สนธิกำลังรวมกับตำรวจนครบาล4 หน่วยอริทราช เข้าปิดล้อมตรวจค้น ภายในบริเวณเอสซีปาร์ค ถนนประชาอุทิศ-ประดิษฐ์มนูธรรม ภายหลังทราบว่าแกนนำเสื้อแดงใช้โรงแรมดังกล่าวเป็นที่พัก ซึ่งระหว่างที่เข้าทำการปิดล้อม แกนนำเสื้อแดงได้ไหวตัวทัน จึงแจ้งให้มวนชนม็อบเสื้อแดง ให้มาปิดล้อมเจ้าหน้าที่
หลังจากที่มาปิดล้อมเสื้อแดงบางส่วนได้บุกเข้าไปในโรงแรมเอสซี ปาร์ค เพื่อหาตัวแกนนำที่ถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมไว้ ระหว่างนั้น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หนึ่งในแกนนำ ได้วิ่งออกมาที่ระเบียงบริเวณชั้น 3 ของโรงแรม พร้อมกับโบกมือให้เสื้อแดงที่อยู่ข้างล่างด้านหน้าโรงแรม จากนั้นนายอริสมันต์ได้นำสายไฟผูกโรยตัวลงมา โดยมีกลุ่มเสื้อแดงจำนวนมากรอรับอยู่ข้างล่าง หลังจากนั้นการ์ดเสื้อแดงก็รีบพาตัวนายอริสมันต์ขึ้นรถตู้สีขาว ทะเบียน ฮจ 4470 กรุงเทพมหานคร จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงก็เข้าบุกเข้าไปเพื่อช่วยแกนนำที่เหลือ โดยสามารถฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ที่มีน้อยกว่าเข้าไปซิงตัวแกนนำที่เหลืออีก 3 คนออกมาได้ คือนายเจ๋ง ดอกจิก นายสุพร อัตถาวงศ์ และนายพายับ ปั้นเกตุ พร้อมกันนี้กลุ่มเสื้อแดงบางส่วนยังได้ล็อคตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เข้าไปปิดล้อมจับกุมแกนนำ พร้อมกับยึดอาวุธปืนและควบคุมตัวลงมา โดยพยายามกันไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงที่เหลือเข้ามารุมทำร้าย ก่อนช่วยเหลือออกมาจากโรงแรม และหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกควบคุมตัวคือพล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รองผบช.น. ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกำลังเข้าปิดล้อมในครั้งนี้ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวออกมาอย่างทุลักทุเล แต่ก็ปลอดภัย ก่อนที่พล.ต.ต.สุเมธ จะขึ้นรถออกจากโรงแรมโดยด่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานวาา ระหว่างที่เกิดเหตุ มีเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด และพบว่ามีตำรวจถูกยิงเข้าที่เท้าด้าน ซ้าย 1นัด แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าถูกยิงจากสาเหตุใด และบริเวณด้วนหน้าโรงแรม ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนยังปักหลักอยู่หน้าโรงแรม แต่ก็ไม่มีเหตุรุนแรง
ภายหลังจากที่แกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 4 คนไหวตัวหนีออกมาได้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบภายในบริเวณห้อง 337 พบลูกระเบิดที่ข้างเตียง 1 ลูก หน้าห้องน้ำ 2 ลูก ที่ตู้เย็นมีรอยกระสุน1 นัด ซึ่งห้องดังกล่าวเป็นห้องที่นายอริสมันต์พัก จากนั้นได้ไปตรวจสอบที่ภายในห้อง 377 ยังพบระเบิดอีก 4 ลูกซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นระเบิดชนิดใด

ท่าจะบ้า....
จะจับโจรดันประกาศก่อนจับ
มันจะอยู่ให้จับไหมเนี่ย...
แถมยังป่าวประกาศให้คนมาช่วย
จับตำรวจเป็นตัวประกัน
ตกลงตำรวจเป็นผู้ร้าย...ใช่ไหม เมืองไทย

โอย...ไม่มีอะไรจะทำให้ต้องหัวเราะทั้งน้ำตาแบบนี้

ข้าพเจ้ามีสิทธิขออนุญาตลาออกจากประชาชนคนไทยขณะนี้มั้ย

แล้วจะกลับมา (ลาชั่วคราว...เซ็งจิต)

โว้ย!!!!


วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

เศร้า.....


เห็นคนไทยฆ่าคนไทย แลัว สะเทือนใจ
อำนาจอะไร เป็นที่ต้องการขนาดนั้น
ใครที่ทำงานมาตลอดหกสิบกว่าปี
เป็นตัวอย่างที่เราต้องทำบ้าง
เพื่อดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
ที่เราภูมิใจอย่างยิ่งที่เป็น "ข้าราชการ"
และก็พูดได้เต็มปากว่า เราทำงานเพื่อแผ่นดิน
แม้ไม่เทียบเท่าเสี้้ยวหนึ่งของพระองค์ท่าน

มาบัดนี้...คนไทยเข่นฆ่ากันเอง
สนองตัณหาของใคร
เอน็จอนาถใจยิ่งนัก

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ฤา เป็นกรรมของบ้านเมือง

ขอผู้คิดร้ายต่อแผ่นดิน
ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้รับผลกรรมในเร็ววันนี้เถิด
สาธุ!!!


วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าวันนี้

เช้านี้ตรวจคนไข้คนนึงมาส่งภรรยาที่ปวดท้องแล้วตัวเองก็เลยตรวจด้วย
บอกปวดต้นคอ...ความดันก็ดี ถามนอนหลับดีมั้ย..แกบอกว่า "นอนไม่ค่อยหลับ"
"มีเรื่องอะไรให้คิดหรือเปล่า" แกทำหน้าเศร้า "ผมกลุ้มใจ ที่ดินก็ถูกยึด น้องเมียผมยืมโฉนดไปกู้เงิน ไม่ส่งเงินเลยถูกยึด" แกเล่าน้ำตาคลอ เลยแตะมือแกให้กำลังใจ สักครู่แกก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดหัวตา "วันนี้ผมมาส่งเมียก็ขาดรายได้ เขาหักรายวัน" ถามว่าได้วันละเท่าไร แกบอก ร้อยห้าสิบ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ มีลูกติดเมียอีก 2 ลูกแกเองอีกหนึ่ง แอบสังเกตเห็นกางเกงที่แกใส่มีรอยปะ ร่างผอมเกร็งไม่มีสง่า ท่าทางไม่น่าพูดไม่จริง สงสารเลยเอาตังค์ให้แกร้อยนึง บอกว่าแล้วจะลองปรึกษาคนอื่นหาทางช่วยนะ ทั้งๆที่เราเองก็ไม่รู้จะหาใครช่วยแกเหมือนกัน เดี๋ยวค่อยถามพ่อหลวงถึงครอบครัวแก

เย็นอยู่เวรนอกเวลา ป้าเพ็ญกับป้าน้อย หมู่ 3 มาอยู่ด้วย เอาแกงใส่ปิ่นโตมาให้ด้วย บอกอาหารโปรดหมอติ๊ก เปิดดูเป็นแกงผักปั๋ง ว้าว!!ของโปรดจริงด้วย มีน้ำพริกตาแดงแสนอร่อย กับผัดถั่วหวานโครงการหลวงอีก แถมข้าวเหนียว อสม.เราน่ารักจัง สงกรานต์นี้ต้องหาของดำหัวหลายคนล่ะ

ทุกวันนี้ทำงานก็มีเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตเรามีคุณค่า ได้ช่วยคนแม้เรื่องเล็กน้อย ได้รับน้ำใจที่ยิ่งใหญ่จากคนรอบข้าง ก็สามารถทำให้เรามีความสุขจากการให้และสุขจากการรับ จะมีอาชีพไหนที่จะมีโอกาสอย่างนี้นะ ขอบคุณวิชาชีพพยาบาล อืมม วันนี้ครบรอบทำงาน 25 ปีแล้วซีนะ ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่กรุณาสอนสั่งจนยึดอาชีพนี้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ขอบคุณคนไข้ที่ช่วยให้เราทำมาหากินได้อีก ขอบคุณผอก.ที่ให้โอกาสย้ายมาอยู่ ณ จุดนี้ ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่แสนดี ขอบคุณ ๆๆๆๆๆๆๆๆ มากๆค่าาา


วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ครีมช้านนนน!!!!!

เซ็งในอุราเหลือเกินวันนี้
เข้าบ้าน....ไม่ได้ กุญแจไม่มี
เอาวะ...งัดบ้านตัวเอง ฮึ!แหลวแตวเลย
เข้าบ้าน....ได้ละ ห้องครัว ห้องน้ำเอี่ยม อืมมม...นะ
เข้าห้องน้ำ...ดูหน้ากระจก
ครีมกระปุกละสองพันบาทของช้านนนน!!!!!
อันตรธานไปจากหน้ากระจก เหลืออีกตั้งครึ่งนะ

โทรไปหาบุคคลต้นเหตุ
บอกอยู่ในถังขยะ
ไปคุ้ยเขี่ยถังขยะ
ค่อยยังชั่ว....เจอละ

หมาหิวข้าว...
เปิดตู้เย็นหาตับไก่ให้ลูกรัก
แม่เพิ่งซื้อมานะลูก เด๋วจะต้มตับไก่ให้น้าาา
จ๊าก!!!!ตับไก่หายอีกแระ
ตู้เย็นโล่งโก๊ะโล่งโก๋
แง้!!!!ตูละเชื่อ...

ทิ้งเสียทุกอย่าง
เอาบ้านไปทิ้งเลยแมะ

ยัวะละนะ!!!!!


วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

ข่าวดี!!!

ลูกสาวส่งข่าวมาว่า "ลูกได้เกรด 3.71" ล่ะ ลูกชายก็บอก "ได้ 3.2จ้า"
อืมม... ชื่นใจนะ มิเสียแรงที่ได้ส่งเสียกะตังค์ให้มา
หวังว่า ลูกเรียนสำเร็จก็เลี้ยงตัวเองได้
เป็น generation ต่อไป ที่ต้องเลี้ยงตัวเอง ครอบครัว
แม่ก็แก่ไปเรื่อย ๆล่ะ อ้าว! ไหงเลี้ยวมาหาเรื่องนี้น้อ หยาบคาย.....

ชีวิตก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ตอนนี้แม่ไม่ค่อยห่วงแล้ว ก็มุ่งหน้าหาเสบียง(บุญ)ไว้เลี้ยงตัว
พ่อนะ ...ถ้าไม่หาเสบียงบุญไว้เลี้ยงตัวเอง แม่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้
ของอย่างนี้มันทำแทนกันได้ซะเมื่อไหร่
บอกแล้วนะ....
จงมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด
(นี่เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า)

เอวังโหนตุ


วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กำลังใจ

จะเป็นกำลังใจให้

กำลังใจ...พลังใจ....

ไม่ว่าเราเจอวิกฤตอะไรในชีวิต ขอให้เรามี พลังใจที่ดีอยู่เสมอ ความรู้และความสามารถของเราจะไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร หรือถ้าถึงขนาดท้อแท้สิ้นหวัง ยิ่งทำอะไรไม่ได้ใหญ่เลย

กำลังใจ...พลังใจ...

หาได้เสมอจากคนใกล้ตัว...
แม่ที่รักเรามากอย่างที่สุด รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน...
ครอบครัวที่อยู่เคียงข้าง...หากเราเอ่ยปาก ก็พร้อมที่จะให้ หรือเพียงแต่มองตา...
เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันเสมอมา

แม้กระทั่งหมา..แมว..ที่พูดไม่ได้ แต่พร้อมซึมซับความท้อแท้ของเรา
และเป็นกำลังใจให้

แค่นี้...ก็สามารถลุกขึ้นสู้ต่อไป



วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทบทวนตัวเองอีกครั้ง



ตื่นนอนวันนี้รู้สึกมีนิวรณ์+ อาลัยอาวรณ์ที่นอนนุ่มๆ อุ่นๆ อากาศกำลังดี ว่าจะลุกนั่งสมาธิเลยเหลวอีกละ แย่จริง นิสัยอันนี้แก้ยากพอดู ว่าจะลองดูวิชาใหม่ที่ได้มาซะหน่อย สงสารคนสอน อุตส่าห์มาสอนให้ แต่ลูกศิษย์ก็ท่าจะ "ปึกหลึกหลืน" 55+ ทำอย่างไรถึงจะแก้นิสัยอันนี้ได้น้า งืดแต๊ๆ

ทุกวันนี้ถามตัวเองว่า มีชีวิตอยู่ทำไม ก็ได้คำตอบว่า จะสร้างบารมีเพื่อตัวเองจะหลุดพ้นกับเขามั่ง แต่คงอีกหลายภพหลายชาติ ที่ทำอยู่นี่ก็พยายามทำเท่าที่จะทำได้ ไม่หวังลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะงั้นที่ไปสวดกับเขาก็เพื่อรับพลังบุญจากผู้ที่สามารถแผ่ให้ได้ และหวังที่จะแผ่ไปให้ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากมั่ง ไม่ได้สวดเพื่อขออะไร เพราะที่เป็นอยู่เวลานี้ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอันใด ที่เรียนกับอาจารย์นี่ก็เพื่อจะเรียนรู้วิธีปฏิบัติ ไม่ได้อยากเห็นอะไร หรืออยากได้อำนาจวิเศษอะไร ดังนั้นนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้มุ่งมั่นจริงจัง

แต่อย่างน้อยทุกวันนี้ก็พยายามทำตัวไม่ให้มีเวรกรรมอะไรมากที่จะติดตัวเป็นวิบากกรรม มีสติที่จะดึงรั้งตัวเองจากความชั่ว พยายามไม่พูดมาก เพราะหลวงปู่ทวดสอนว่า พูดมากเสียมาก พูดน้อยเสียน้อย ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสียโพธิสัตว์ แต่ไม่พูดก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าพูดปานกลางละกันนะ จะได้เสียปานกลาง อิอิ ขอกัลยาณมิตรช่วยเตือนหน่อยเน้อ เวลาพูดมาก


ขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันวานยังหวานอยู่

ฮะแอ้ม! วานนี้วาเลนไทน์ ปกติได้ช็อคโกแล็ตเพราะชอบกิน
ไปอบรมESB ที่ดอยอินทนนท์มา ตั้งแต่วันที่ 13
ถึงบ้านวันที่ 14 ก็เพลียจัด อาบน้ำกินข้าวแล้วนอน
สามีไปร้าน เจอหน้าก็เฉยๆ ไม่เห็นว่าไง
ข้าเจ้าเองก็ไม่มีอะไรให้อิท่านเล้ย
ก็ไม่คิดว่าจะได้อะไร ก็คิดว่าทุกวันก็เหมือนกันน่ะแหละ
สามีกลับมาเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้อีก(มีใครเหมือนข้าเจ้าบ้างนี่)

ถะ ถะ แท้น ลืมตาตื่นเช้านี้ พบดอกกุหลาบสีแดงดอกบะเริ่ม
เสียบขวดน้ำบนหัวเตียง 555+
เออ... โรแมนติคแบบเงียบๆนะเนี่ย

ขอบคุณค่

เธอจะอยู่กับฉันตลอดไป ไม่ว่าอีกนานแสนนาน นานเท่าไรไม่ลืมเลือน
ความทรงจำคอยย้ำและช่วยเตือน เราต่างผูกพันด้วยรักตลอดไป ฮึมมมม


..................................................

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ให้เวลาผู้ป่วยกับตัวเอง

วันนี้ออกหน่วยคลินิคเบาหวานเคลื่อนที่ที่ ม. 8 วัดกอประจำโฮง ทีมพร้อม ขอบคุณลูกทีมที่เตรียมการอย่างเต็มที่ตั้งแต่วานนี้ ไม่ว่าพี่น้อย เค ที่เตรียมนับยาใส่ซองให้ผู้ป่วยไว้ล่วงหน้า ต้อยที่ตรวจเช๊คการสั่งยาให้ ไปถึงที่หมายเจ็ดโมงกว่า ก่อนไปถึงก็มีเหตุการณ์ระทึกขวัญเพราะรถที่บรรทุกคน เวชภัณฑ์ เหยียบครัชท์ไม่ติด จอดมันกลางถนนก่อนข้ามทางรถไฟ ร้อนถึงเคต้องมาเปลี่ยนขับกับพี่น้อย ข้ามถนนซุปเปอร์ไปอีก ลุ้นไปจนถึงที่ โชคดีที่เคเคยขับรถส่งของมาก่อนเลยประคองรถไปได้
ถึงวัดผู้ป่วยก็พร้อมแล้ว แต่ อสม.มาแค่สองคน วุ่นวายกันพอสมควร คนโน้นพูดที คนนี้พูดที ลัดคิวกันบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีใครมู้ดดี้เลย ค่อยทำไปจนเสร็จการคัดกรองเบื้องต้น ข้าวต้มก็มา ทั้งผู้ป่วยทั้งเจ้าหน้าที่ต่างพากันโซ้ยข้าวต้มคนละถ้วยสองถ้วย แล้วถึงมานั่งรอตรวจ





วันนี้เปิดซีดีคลายเครียดของสวนปรุง เริ่มจากการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่หน้าผาก ดวงตา ดูลมหายใจ ผ่อนคลายลำคอ แขนขา ลำตัว และกลับมานับลมหายใจ สุดท้ายก็ให้กำลังใจตนเองที่เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข




ผู้ป่วยให้ความร่วมมือดีมาก ทุกคนทำตามเสียงจากซีดี เราเองก็ทำเหมือนกัน เหมือนได้สงบจิตใจก่อนทำงาน อิ่มเอมใจที่เป็นคนดีและจะทำดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนเก่งที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรค มีความสุขและพร้อมแบ่งปันความสุขแก่ผู้อื่น ผู้ป่วยก็สงบจิตใจก่อนรับการตรวจ หลังทำสอบถามผู้ป่วย ก็มีเสียงตอบรับดี อสม.ที่ทำด้วยบอกว่า รู้สึกผ่อนคลาย โล่ง ในเวลาแค่สิบนาที ทุกคนสงบมากขึ้น ไม่มีคนรีบร้อนที่จะขอยากลับบ้านก่อนเหมือนที่เคยเป็น

ขอบคุณวันที่ดีๆวันนี้ ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่แสนดี ขอบคุณผู้ป่วยที่ทำให้เรามีงานทำ ขอบคุณตัวเองที่ทำสิ่งดีๆให้ตนเองและผู้อื่น

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ลองดูสักตั้ง...

ได้ฮูลาฮูปมาหลายวันแล้ว วันนี้ได้ฤกษ์เอากลับบ้าน
เสร็จภารกิจประจำวันก็ลองเล่นดูสักที
เปิดเพลงฮูลาฮูปให้เข้าบรรยากาศ
ใหม่ ๆก็ตกลงพื้น หลายๆครั้งเริ่มดี
แกว่งเอวไปมาได้นานพอควร
ปวดแขนนี่สิ ทำไง
ก็เวลาเล่นต้องยกแขนนี่นา
เฮ้อ! เป๋นต๋างืด....
ปวดแขนว้อย ช่วยที

ยกประโยชน์ฮูลาฮูปมาสักหน่อยจะได้มีกำลังใจเล่นต่อ

ประโยชน์และข้อดีของฮูล่าฮูป
1. การเล่นฮูล่าฮูปเป็นการออกกำลังกายในรูปแบบแอโรบิคอย่างหนึ่ง เล่นง่าย เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่มีผลกระทบต่อร่างกายน้อย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย
2. การออกกำลังกายด้วยฮูลาฮูปจะช่วยทำให้หน้าท้อง รอบเอว สะโพก แผ่นหลัง กล้ามเนื้อบริเวณขา และเข่า กระชับมากยิ่งขึ้นเนื่องจากไขมันส่วนเกินจะถูกเผาผลาญเพื่อใช้เป็นพลังงานออกไปกว่า 200-300 แคลอรี่ภายใน 20 นาที ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการกำจัดไขมันส่วนเกิน ทำให้น้ำหนักตัวลด และทำให้กล้ามเนื้อดูกระชับมากยิ่งขึ้น
3. การออกกำลังกายด้วยฮูลาฮูปอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับกล้ามเนื้อทั้งลำตัวและความยืดหยุ่นของข้อต่อกระดูกต่างๆซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกับรูปร่างและท่วงท่าการเดินของคุณ อีกทั้งการออกกำลังกายด้วยห่วงฮูลาฮูปนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าสุขภาพของคุณดีขึ้นอาการเหนื่อยง่าย หรือ อาการปวดเมื่อย จากกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันที่เคยมีจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง
4. การเล่นฮูลาฮูป จะช่วยเพิ่มระดับการไหลเวียนเลือดไปสู่สมอง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้ทันที
5. เป็นการออกกำลังกายที่ใช้พื้นที่น้อย สามารถพกพาห่วงไปไหนมาไหนได้ในทุกๆที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินกับทุกคนในครอบครัวได้ทุกที่ทุกเวลาและรวมถึงระหว่างกลุ่มเพื่อนๆของคุณที่มาออกกำลังกายร่วมกันอีกด้วย
เคล็ดลับในการเล่น
1. นำห่วงคล้องใส่ที่ลำตัวที่บริเวณบั้นเอวในลักษณะท่ายืน ถือห่วงด้วยมือทั้งสองข้างให้แนบชิดกับแผ่นหลัง
2. ก้าวเท้าข้างหนึ่งข้างใดก็ได้เฉียงออกมาด้านข้างมีความกว้างไม่เกินกว่าความกว้างของหัวไหล่ ให้น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าทั้งสองข้าง
3. ใช้มือทั้งสองข้างผลักห่วงไปทางด้านซ้ายหรือขวาตามต้องการ(ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน) พร้อมๆกับการแขม่วหน้าท้อง หรือ เกร็งหน้าท้อง (เหมาะสำหรับผู้ที่มีพุงหรือไม่มีสัดส่วนคอดของเอวอย่างยิ่ง)
4. ใช้เข่าเป็นจุดหมุนโดยเปลี่ยนถ่ายน้ำหนักเท้าสลับไปมาทั้งสองข้างระหว่างการหมุนพยายามรักษาระดับความเร็วของการหมุนห่วงบนลำตัวให้คงที่เพื่อให้ห่วงหมุนอยู่บนลำตัวตลอดโดยไม่หล่นลงข้างล่าง
5. สิ่งสำคัญเพื่อให้การหมุนในครั้งแรกประสบผลสำเร็จซึ่งจะทำให้ห่วงหมุนอยู่บนลำตัวทันทีโดยไม่หล่นคือการหมุนเอวอย่างเต็มที่หลังจากการผลักห่วงออกไปและการแขม่วหรือเกร็งหน้าท้องขณะหมุน
6. ระยะเวลาที่แนะนำสำหรับบุคคลทั่วไปคือไม่ควรเล่นติดกันนานเกิน 20 นาทีในหนึ่งครั้งโดยคุณอาจเล่นอีกได้ 2-3 ครั้งในหนึ่งวัน เช่นนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อเนื่องจากการทำงานหนัก
7. หลังจากการเล่นห่วงออกกำลังกายไม่ควรรับประทานอาหารทันทีภายใน 1-11/2 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สภาวะสมดุล และเพื่อมิให้ปริมาณพลังงานที่ถูกเผาผลาญไปกลับคืนมาอีก
8. เพื่อให้ความพยายามในการลดน้ำหนักเห็นผลได้ในเวลาอันรวดเร็ว ควรมีการคำนึงถึงปริมาณและความสมดุลของอาหารที่รับประทานด้วย

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Tips ในการพัฒนาสมอง


Tips ในการพัฒนาสมอง


1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็น เสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัว เราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก

ขอขอบคุณ เคล็ดลับดีๆ จาก วนิษา เรซ หรือ หนูดี

และ http://blog.keentranslation.com/ ที่คัดลอกมาค่ะ จะเก็บไว้เตือนตัวเองให้สมองดีมั่ง

รู้สึก ง..ง..ยังไรก็มะรุ อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถุงเงินอีกแว้ววว


นินทาแมวดีกว่า.....
ถุงเงินพุงย้อย กินเก่งมั่กๆ กิจวัตรประจำวันชีนะ เอาตั้งแต่แม่มานเข้าบ้าน
ชีก็จะวิ่งมารับหน้าพร้อมกับร้อง"แม่ง่าว ๆ" (ประมาณว่า ม้าวๆ แต่แม่มานได้ยินว่ามานร้อง แม่ง่าว ๆ)
เหมือนกับต่อว่าแม่มานว่า โง่จังไม่เทข้าวให้เร็วๆ แม่มานก็ต้องรีบเข้าบ้านพร้อมกับเทข้าวให้
ไม่งั้นชีก็จะกัดขา เดินไม่สะดวก กินเสร็จก็จะนอนผึ่งพุง
ระหว่างนั้นแม่มานก็ทำงานบ้าน ไม่ก็หาข้าวกินมั่ง พอแม่กินเสร็จหันมาจะเล่นกะชีมั่ง
โน่นเปิดประตูแมวออกไปนอกบ้านแล้ว(ประตูแมวสั่งต่างหากเด้งได้ ไม่งั้นได้ปิดประตูให้เจ้าหล่อนทั้งวัน)
แม่อาบน้ำเสร็จไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ชีก็เข้าบ้าน
ถ้ามาเห็นแม่มานนั่งนิ่งๆ ชีก็จะร้อง "แม่ง่าว ๆ" แล้วก็กางเล็บเกาะไหล่
อะจ๊าก! ใครไม่เคยโดนไม่รู้สึกร้อก สติแตกบัดเดี๋ยวนั้น พยายามกัดฟัน ฮึ่ม! พุทโธ ธัมโม สังโฆ โอ๊ะโอ เจ้าถุงเงิ้นนน....

ถึงเวลานอน ชีก็จะนอนสักแป๊บ พอแม่มานเคลิ้มๆ ก็จะตะกายมุ้งลวดจะออกทางหน้าต่าง
แม่มานก็จำต้องเปิดเปลือกตา มาเปิดมุ้งลวดให้ชีลอดทางเหล็กดัดออกหน้าต่างไป
สักครึ่งชั่วโมงชีก็กลับมานอน อย่า..อย่าคิดว่าชีจะนอนถึงรุ่งเช้า
สักตีหนึ่งชีก็จะออกทางประตูไปอีก เปิดมุ้งลวดให้ไม่ยอมออก ต้องเปิดประตูห้องนอนอุ้มชีไปออกประตูหลังบ้าน

คราวนี้ตีสี่ชีก็มาตบมุ้งลวดปังๆอีก เอาเข้ามาบ้านแล้วต้องเปิดวิทยุให้มีเสียงสวดมนต์ ไม่งั้นชีก็จะเอาหมัดแมว(ที่ไม่หุบเล็บ)เขี่ยๆหน้า ประมาณว่า ตื่นๆ สวดมนต์ได้แล้ว แม่จ้าว! ช่างมีธรรมะในหัวใจซะจริง พอแม่มานนั่งสวดมนต์ ชีก็จะขดตัวนอนหลับอย่างมีความสุขอวดแม่มาน ทำให้ต่อมอิจฉากระฉูดได้ พักหลังๆแม่มานก็แกล้งเปิดวิทยุให้ได้ยินเสียงสวดมนต์ พอถุงเงินหลับ แม่มานก็หลับมั่ง อย่างมีความสุข
Happy Ending 55+

วันเวลาที่ผ่านไป

เมื่อวานมีการสัมมนาทางวิชาการเรื่องการวิจัยที่ทำในพื้นที่อำเภอสารภี มีผู้แสดงทัศนะหลายหลาก ที่"เหน็ดสุด" คือ คำพูดของแม่ทองดี โพธิยอง ที่บอกว่า "เงินเป๋นล้าน ยังก๊านก๋ำข้อมูลในมือ"

ท่าจะจริงแฮะ PCU เราได้ลองเปลี่ยนแปลงโปรแกรมที่นำมาใช้กับผู้ป่วยจาก cm_pop มาเป็น HosXP PCU มาสามเดือนแล้ว ยังมะงุมมะงาหราอยู่เลย ใครถามข้อมูลอะไร ตอบเขาไม่ได้เลย สรุปว่าพึ่งตัวเองไม่ได้ หนำซ้ำคนที่เราพึ่งมันก็ไม่อยู่ให้เราพึ่ง อึดอัดมาก

วันนี้ไปให้ฝั่ง สสอ.ลงโปรแกรมcmpoint ให้ใหม่ ใช้งานได้ง่ายกว่าเยอะ คงเป็นเพราะคุ้นเคยมากกว่า ประมวลผลได้ง่ายกว่า ตอนนี้กำลังทบทวนว่าPCU จะเดินหน้าต่อหรือเปลี่ยนกลับอันเดิมดี คงต้องประชุมทีมกันก่อน ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แต่ต้องให้ทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่เป็นภาระ ที่สำคัญข้อมูลต้องอยู่ในมือเรา ไม่ใช่อะไรๆก็รอก่อนอย่างนี้ ในฐานะที่เรานำองค์กรเล็กๆ คงต้องตัดสินใจแล้วล่ะ เพราะวันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ไม่หมุนย้อนกลับ มันจะเป็นวันเวลาที่เสียไป หรือเป็นวันเวลาที่ได้มา ต้องเสี่ยงกันหน่อยละนะ

แล้วจะมาบอกผลนะ

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของสตังค์




สตังค์เป็นหมาที่เอามาโดยพ่อเอาใส่ถุงก๊อบแก๊บห้อยหน้ารถเครื่องมาแทนน้ำตาลที่ไปสู่สวรรค์
ตอนมาไม่ค่อยแข็งแรง ตัวผอม ตัวมีรอยไหม้เหมือนถูกไฟจี้เป็นจุด ๆ
คนที่ให้มาบอกว่า เอามาจากที่อื่นอีกที เขาให้นอนรอบกองไฟเพราะอากาศหนาว ไฟอาจกระเด็นเข้าใส่ได้
วันนั้นเลยรีบเอาไปหาหมอปากซอย ฉีดวัคซีน หยอดยากันก่อน
กลับมาบ้าน เอานอนในบ้าน แต่สตังค์คงกลัว ร้องอื้ดๆ พ่อเลยเอานอนด้วย เพราะแม่นอนกับถุงเงิน
สตังค์จะรู้อยู่ ไม่กวนเท่าไหร่ แม่มันจะคอยตื่นเอาไปฉี่นอกบ้าน หกโมงเช้าก็เอาไปอึ เหมือนฝึกเด็กเลย
สตังค์เลยไม่อึไม่ฉี่ในบ้าน จะร้องออกบ้านหากปวดอึปวดฉี่ จะรอนอนกับพ่อ เวลาพ่อกลับบ้านดึก
พอโตก็เอาออกไปนอนนอกบ้าน เพราะจะได้อาศัยเห่าเตือน ซึ่งสตังค์ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก
ตอนแรกๆ สตังค์กิน BARF แต่มีแต่คนว่าแม่มานจะให้หมาเป็นปอบ เลยต้มตับไก่คลุกข้าวให้ she ไม่ค่อยยอมกินอาหารเม็ดเลยอุตส่าห์ซื้อ Maxima ให้ สตังค์ชอบวิ่งมากและวิ่งได้เร็ว หน้าตาเหมือนอีที หูกาง ตัวผอมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
มีวีรกรรมเยอะแยะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ โปรดติดตามตอนต่อไป

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของถุงเงิน




ถุงเงินเป็นแมวน้อยที่มาพร้อมกับถุงทอง ถุงเงินเป็นแมวสามสี เพราะงั้นจึงเป็นเพศเมียแหงมๆ หะแรกที่ได้มาก็เลี้ยงแบบปิด นอนในห้องไอติมอ้ายเก๊า(หมายถึงพี่คนโต) ซื้อทรายแมวไว้ให้ แต่สองพระหน่อก็เล่นทรายกระจุยกระจาย แถมกลิ่นยิ่งโตยิ่งอบอวล เลยปล่อยออกนอกบ้าน ถุงทองติดใจอิสระ ไปแล้วไปลับเลย มาเยี่ยมครั้งสุดท้ายก็หน้าเยินกลับมา แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย แงๆๆ คิดถึงถุงทอง
ส่วนเจ้าถุงเงินเป็นผู้หญิงก็มีผู้บ่าวแวะเวียนมาหาบ้าง แม่มานก็หวงซะ แล้วในที่สุดก็หนีไม่พ้น ท้องก่อนแต่ง ปิดแม่มานซะมิด แม่มานก็คิดว่าอ้วนธรรมดา เพราะฉีดยาคุมให้แล้ว ที่ไหนได้... วันหนึ่งแม่มานสังหรณ์ใจกลับบ้านตอนเที่ยง(ปกติไม่ค่อยกลับ) ถุงเงินมี เลือดเก่าไหลจากจิ๊มิ ตกกะใจ หอบเอาไปร้านหมอปากซอย เลยเอาไว้ที่นั่นเพราะหมอบอกว่า ท้องแล้วลูกอาจตายในท้อง มดลูกอาจเน่า ไอ๊ย่า ถุงเงินลูกแม่ ประชุมเสร็จตอนเย็นเลยแวะเอากลับบ้าน ได้ลูกกรอกแมวมา สองตัว เก็บไว้ไม่เป็นมันจะเน่าเลยเอาไปฝังข้างบ้าน ประคบประหงมถุงเงินจนเป็นปกติ ตานี้ไม่กลัวเรื่องท้องละ
แต่แล้ววันหนึ่งเคราะห์มาถึงขมึงทึงมา ถุงเงินถึงคราแย่งหัวปลา เอ้ย ไม่ใช่ ถุงเงินโดนลวดหนามเกี่ยวท้อง หนังฉีกฉากหวากเหวกไปครึ่งท้อง(มากมั้ยล่ะ อิอิ) แน่นอน คุณหมอเจ้าเก่าเดือดร้อนอีกแระ ไปคลินิคเกือบร้านปิดแล้ว คุณหมอไม่ได้ทานข้าว เย็บถุงเงินจนถึงสี่ทุ่ม สองชั่วโมงเลยนะ น่าสงสารจิงๆ เย็บเสร็จต้องระวังไม่ให้มันกัดแผลอีก ลำบากยากเข็ญเสียจริงลูกเอ๊ย เนี่ยบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระนะ รูปที่แปะมาพร้อมนี้จะเห็นแม่มานเสียสละเสื้อยืดทำเสื้อให้ใส่กันมานกัดแผล ดูเด่ะ วันดีคืนร้ายกัดแม่อีก เนรคุณจิงๆ แต่ถึงยังไงก็รักมานนิ