วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ว้าว! บุคคล Idol มา comment FBเรา

ไม่น่าเชื่่อที่อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญจะมาสนใจเจ้าถุงเงินของเรา มาcomment ตั้ง4 ครั้งแน่ะ อาจารย์เป็นคนที่เรายอมรับนับถือแนวคิดซึ่งเป็นวิถีพุทธ แต่อาจารย์ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็น Idolได้แบบผสมผสานอย่างลงตัวจริงๆ


สิ่งที่อาจารย์วรภัทร์สอนไว้ คือ แนวคิด Dialogue ที่สอนไว้ในhttp://www.managerroom.com/forums/forum

อยู่รอด คงหมายถึง เรียนรู้ที่จะดูแลตนเองได้ ไม่ทำร้ายสุขภาพตน เอง (ทั้งตั้งใจและ รู้เท่าไม่ถึงการณ์) รู้จัก ใช้พลังชีวิต รักษาดุลยภาพแห่งชีวิต พอเพียงในตนเอง ---ฐานกาย ---- อธิศีล มีความปกติของกาย

อยู่ร่วม หมายถึง เมื่อพอเพียงในตนเองแล้ว ก็อยู่ร่วมกับคนอื่น เชื่อมโยงกับคนอื่นได้ ไม่ทำร้ายคนอื่น เห็นคนอื่นกับเรา เป็นพื้น เป็นสิ่งเดียวกัน ทำร้ายคนอื่นคือทำร้ายตนเอง เห็นสรรพสิ่งกับเราเป็นเนื้อเดียวกัน ในฉันมีเธอ ในเธอมีฉัน --- อธิจิต จิตอาสา จิตผ่องใส จิตโล่งๆสบายๆ

อยู่อย่างมีความหมาย หมายถึง เมื่อ อยู่รอด พอเพียง และ อยู่ร่วม ฝันร่วมกับมนุษยชาติในทางที่ดี ที่พอเพียง ที่ยั่งยืนได้แล้ว ก็เริ่มรู้จัก ค้นหา "ความหมายของชีวิต" ค้นหา "สัจธรรม" อยู่เพื่อการหลุดพ้น พ้นจากทุกข์ อยู่เพื่อสะสมสติ "สมดุลฐานกายใจคิด" ได้แล้ว ---อธิปัญญา (คิดตอนจิตว่าง) ไม่ใช่ เฉโก (คิด ตอนจิตไม่ว่าง)
หาก ยังไม่เจอ จิต ก็กลายเป็น เอาแต่ คิดๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบเฉโก

เรื่อง ของจิต ต้อง ฝึกฐานกายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ก่อน แล้ว เมื่อ รู้ๆๆๆๆๆๆ กาย ก็จะ เห็นจิตว่าง กายผ่อนคลาย

เอา ความว่าง นี่แหละ ไปดู ความไม่ว่าง และ ความว่าง ที่ปรากฏ

*****
Dialogue = shared meaning

ร่วมกันหาความหมายของชีวิต :



ท่าน อจ ฌานเดช พ่วงจีน เมื่อ อธิบายถึง ฐานกาย ใจ และ ความคิด

ท่านก็มักจะเชื่อมโยงว่า ฐานกาย = อยู่รอด คือ เอาตัวรอด เลี้ยงฐานกาย กิน ขับถ่าย สืบพันธุ์ พักผ่อน และ การดูแลตนเอง (สุขภาพของตนเอง)

ฐานใจ = อยู่ร่วม คือ จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ มาทำ Dialogue เพื่อใจสู่ใจ ใจรวมกัน สามัคคี ดังนั้น ทำ Dialogue จึงมักจะไม่ขัดใจกัน

ฐานคิด = อยู่อย่างมีความหมาย เพื่อตอบโจทย์ เพื่อกระทำภารกิจ (Mission) ที่ได้รับมอบหมายมา ในโอกาสที่ได้มาเกิดเป็นคน

เจ้าคำว่า "อยู่อย่างมีความหมาย" นี้ ลึกซึ้งมากนะ .... อยู่ไปเพื่ออะไร เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน ทำไมต้องทำความดี ฯลฯ

**********

ในการฝึก Dialogue นั้น ผมขอเสริมว่า :-

การ Dialogue จริงๆ เป็น การฝึก สร้างตัวรู้ เป็น การฝึก มหาสติ ฯ นั่นเอง

ผู้รู้ มีหน้าที่ "รู้" ผู้รู้มี job description คือ รู้ ๆๆๆๆ

หาก ผู้รู้ ไปทำหน้าที่อื่นนอกจากรู้ เช่น คิด ... ก็ผิดหน้าที่

หากผู้รู้ ไปบังคับจิต ไปบังคับความคิด เราก็เครียด เกร็ง เพ่ง หนัก ก็ไม่ใช่ผู้รู้อีกแล้ว เพราะ ทำผิดหน้าที่

ผู้รู้ คือ อะไร จะค้นหาผู้รู้ในตนเองได้อย่างไร น่าจะเป็น "พื้นฐาน" การทำ Dialogue ที่สำคัญ ไม่ใช่จู่ๆ โดดมาเข้าวง มืดๆ จุดๆเทียน ฟังเสียงเคาะระฆัง ร้องไห้ กอดกัน ฯลฯ มันโดดข้ามขั้นมาเร็วไปนิดหนึ่ง หรือ อาจจะ ไปไม่ถึงที่สุดของการฝึก

การทำ Dialogue เป็นเรื่องของ จิตดูจิต ไม่ใช่ แค่ ดูจิต

ต้องมีผู้รู้่ "หาจิตให้เจอก่อน" รู้จักจิตก่อน เข้าใจจิตก่อน จับสภาวะจิตที่โล่ง โปร่งสบายได้ก่อน เมื่อ หาจิตเจอแล้ว ก็เอาจิตนี่แหละไปดูจิต

ไม่ใช่ ข้ามขั้น ...เอะ อะ ก็จะดูจิต .... มันจะหลงไปเอา "ความคิดไปดูจิต" แทนที่ จะเอาจิตไปดูจิต .... อย่าลืมนะว่า มือใหม่ จิตกับความคิดติดกับหนึบเลย จนกว่า เราจะเอาสติ ไปสังเกต ไปแยกแยะ ว่า เออ นี่จิต อ๋อ นี่ความคิด ...

จิตเมื่อเกิดอาการ ก็ให้ "รู้ ๆ เท่านั้น" ... ไม่ต้องไปร้องห่ม ร้องไห้ หรือ อิน (Sympathy) ไปกับเรื่องเล่า ยกเว้น ครั้งแรกๆ ที่ฝึก ก็ต้องมีเผลอ ร้องไห้ไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่ อย่าถี่ อย่าบ่อย

เมื่อจิตเกิดอาการ ก็ต้องฝืน ข่ม ดับ ละ วาง ฯลฯ หายใจลึกๆ ดีดนิวรณ์ออกไป ฟังแบบจิตว่าง มีสติ ไม่อิน (Empathy) .... หากยอมไหลตามอาการ เช่น ร้องไห้ พิพากษา ยกตนข่มท่าน ฯลฯ อีกหน่อยจะเคยชิน จะแก้ยาก กิเลสจะได้ใจ

ผมชอบคำที่ ท่าน อจ ฌานเดช ใช้บ่อยๆ คือ "ในนามแห่งความดี" ฉันขอพิพากษาเธอ ฉันขอสอนเธอ ฉันเห็นเธอเลว ฯลฯ

หาก หาจิตยังไม่เจอ ยังไม่พบ "ผู้รุ้" ก็จะ หลงได้ง่ายๆ

เมื่อมี ผู้รู้ (ไม่ใช่คน แต่ เป็น สภาวะในกายในใจของเรา) รู้สภาวะจิตของตน รักษาจิตตนให้โล่งๆ เราก็จะเห็นความคิดที่เข้ามาปรุงแต่งจิต

Scharmmer พูดถึง ความคิดนี้ว่า เป็นเสียงภายใน ที่ มี 3 เสียง คือ

เสียงภายในแห่งการตัดสินพิพากษา (VOJ)
เสียงภายในแห่งความผลักไส เหินห่าง (VOC)
เสียงภายในแห่งความกลัว (VOF)
เมื่อ จิตเห็นจิต แล้ว ก็จะไม่ยากเลย ที่จะฟังเชิงลึกได้ ไม่พิพากษาได้ ... ฝึกแบบฝรั่ง บอกก็โอเค แต่ ไม่สุดยอด ....

ฝรั่ง ศึกษา ธรรมะ จากสายธิเบต แล้ว เอาไปประยุกต์ เป็น ตำรา Dialogue บ้าง เป็นตำรา Theory U บ้าง ทั้งๆ ที่ เราอยู่เมืองไทย มีครูบาอาจารย์สายตรง สอนธรรมะตรงๆ แต่ เราก็ยัง อ้อมๆ ไป เอาของฝรั่ง ของ Bohm ของ Senge ของ Wheatley ของ Scharmmer เป็นต้น มาเป็นสรณะที่พึ่ง ... ทำไม ต้องอ้อม เนอะ ??? โอกาสที่ฝรั่ง เข้าใจผิด ก็มีได้นะ ...โอกาสที่ฝรั่ง "สอนถูกทางแต่ไม่สุดทาง" ก็มีนะ ... ถ้าฝรั่งพวกนี้ เก่งมาก ถ้ามาเมืองไทย เจอ หลวงปู่ หลวงพ่อ คงบรรลุธรรมได้อย่างสบายๆ ถ้าไม่โม้สะก่อน เพราะ หลายคน "เขียน ในสิ่งที่ตนทำไม่ได้"

เป็นความรู้ จาก ฐานคิด จำเขามา ประยุกต์เอง ความรู้มือสอง ไปยืนดูข้างเวทีแต่ไม่ไ่ด้เล่นเอง นักข่าว อีกาคาบข่าว เครื่องทำสำเนา ฯลฯ



ทำตัวเรานี่แหละให้เป็นที่พึ่งของตน ฝึกๆๆๆๆๆๆๆ ทำซ้ำๆๆๆๆๆ สร้างบา (Bar) หรือ บารมี ให้มากๆ ( บารมี แปลว่า มี ขั้น ซ้อนๆๆๆ ทับๆๆๆ สูงขึ้นไป .. นึกถึง บาร์ โหนขึ้นไป สูงขึ้นไป ... อย่าไปนึกถึง bar ที่แปลว่า ร้านเหล้า) .... บารมี ๑๐ ทัศ เคยอ่านไหม

หลวงปู่ หลวงพ่อ ของไทย เรา มีหลายรุปที่ เก่ง และ ปฏิเวธแล้ว เป็นบัณฑิต ของจริงแท้ ยิ่งกว่า ฝรั่ง สอนเรื่อง จิตดูจิต ได้ตรงๆ เป็น คุรุ (guru) ด้าน Dialogue จริงแท้แน่นอน ....เราควร เอากาย เอาใจ เข้าไปศึกษา สร้างความเพียร ค้นหา ตัวจิต ค้นหาตัวผู้รู้ (ในกาย ในใจ ของเรา) เมื่อแยก จิตและความคิด ได้ชัดเจน ... ก็จะเอาไปประยุกต์ได้หมดเลย


ยังไม่เคยเห็นตัวเป็นๆอาจารย์เลยนะ....แต่ก็ปลื้มมากมาย....

สักวันนะ คงมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆกะเขามั่ง.......

1 ความคิดเห็น:

  1. ทบทวนตัวเองอีกครั้งใกล้สิ้นปี ฝึกฐานกายโดยโยคะ ฝึกฐานใจโดยการรับรู้ผัสสะ ฝึกฐานคิดโดยนั่งสมาธิ ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง แต่ดีกว่าแต่ก่อนนะ วันก่อนก็เกือบพลาด เพราะเฉโกคิดไปว่าลูกน้องไม่ทำงานตามสั่ง โทรหากะจะว้ากซักหน่อยดีที่อินั่นไม่รับสาย (มารู้ทีหลังว่ากำลังเล่นฟุตบอลงานกีฬา รพ.)เลยตามดูลมหายใจตัวเองเห็นว่าหายใจเร็วชะมัด ถี่ๆเลยแหละ เข้าบ้านแยกหน่อสับปะรดสีลงกระถาง รดน้ำต้นไม้จนมึด ไม่คิดไม่ปรุงแต่ง พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน วันรุ่งขึ้นถึงที่ทำงาน เจ้าตัวดีทำงานให้เรียบร้อยแล้ว ดีที่ไม่ได้ว้ากใส่ไม่งั้นคงเสียความรู้สึกทั้งเจ้านั่นทั้งเราแน่ ๆ ขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอนนะคร้า.....

    ตอบลบ