วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระราชา สถิตในดวงใจ นิรันดร์

หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่อยู่ทำหน้าที่ในฐานะข้าแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่งชุดขาวติดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับในรัชสมัยของพระองค์ แต่เลือกที่จะเดินทางไปในฐานะประชาชนเพื่อที่จะได้ไปกราบลาพระองค์ในวันสุดท้าย
 ก่อนไปเราก็ได้ทำหน้าที่ตั้งแต่ช่วยทำดอกไม้จันทร์ ทำหน้าที่จิตอาสาตามที่ได้รับมอบหมายในการอบรมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์จนเรียบร้อย ฝากฝังงานที่ต้องทำต่อไปแก่น้องที่ทำงานแล้วจึงเดินทางไปด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นในวันที่ ๒๕ ตุลาคม๒๕๖๐
    ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเวลาค่ำแล้ว เดินไปยัง shuttle bus ที่จอดรอพสกนิกรของพ่อหลวงนำไปสู่สนามหลวง ซึ่งเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ไปถึงก็มีประชาชนไปเข้าคิวเพื่อเข้าสู่ท้องสนามหลวง โดยมีจุดคัดกรองถึง ๙ จุด แต่มีประชาชนมาล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๒๓ แล้ว พอพวกเราไปก็ต้องรอคิวยาวมากกว่าจะได้คัดกรอง ก็ปรากฎว่าจุดคัดกรองปิดหมด เดินไปอีกจุดก็ยาวมาก เหมือนจะวนกลับมาต่อท้ายแถวที่เคยอยู่มาก่อน ไม่มีผู้จัดการอะไรเลย เขาบอกให้เข้าแถวก็เข้าแถวต่อกันไปยาวๆสุดลูกหูลูกตาไม่รู้ว่าจะได้คัดกรองที่จุดใดได้ เลยต้องเดินมาหาที่นั่งรอบท้องสนามหลวง ก็ยังมีคนมากมายจนเกือบไม่มีที่นั่ง
 ส่วนพระราชพิธีเริ่มตั้งแต่เย็นวันที่ ๒๕ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ก่อนมีพิธี"ลักพระศพ"ตามธรรมเนียมโบราณ อยู่ข้างนอกเลยไม่ได้เห็นอะไรเลย ไม่ยินเสียงบรรยายอะไรด้วย อาศัยเปิด internet live สดเอาบ้าง ในใจก็นึกถึงพระองค์ท่าน ...ลูกได้มาอยู่ใกล้พระองค์ท่านแล้ว แค่นี้ก็พอใจอุ่นใจที่ได้มาอยู่ใกล้ในยามที่จะกราบพระบาทจากลาไปนิรันดร์...
  ตกดึกคนยิ่งมามากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยฟุบหลับกับกระเป๋าอยู่บนข้างถนน พยายามจิบน้ำทีละน้อย กินขนมปังแก้หิวพอปะทัง เพราะถ้าลุกไปห้องน้ำ กลับมาก็อาจไม่มีที่อยู่ที่นั่งเลยทน โชคดีที่ไม่รู้สึกปวดเข้าห้องน้ำ เช้าประมาณตีสี่กว่า คนมาเต็มถนนแล้ว มีรถเข้าๆออกๆ คนก็จะมายืนบนฟุตบาทเบียดมา แปรงฟันหลังผ้าขนหนูกันอุจาดตาผู้อื่น บ้วนปากลง Tupperware ใช้ทิชชูเปียกเช็ดหน้า ทาครีมกันแดด ลูบแป้งพัฟ ทาลัปมันโดยไม่ส่องกระจก แค่นี้ก็เรียบร้อย ท้องฟ้ายามนี้เหมือนมีหมอกปกคลุมเต็มไปหมด ความจริงหมอกสลัวๆนี้เริ่มตั้งแต่เมื่ือคืนแต่ยามนี้เหมือนจะมีมากขึ้น มีคนบอกว่า เป็นหมอกธุมเกตุ

  สายมาคนยิ่งมากขึ้น พอถึงเวลา ๗.๐๐ น.มีการเชิญพระโกศทองใหญ่ไปพระเมรุมาศท้องสนามหลวง มีริ้วขบวนแห่พระราชอิสริยยศ ได้ยินแต่เสียงปืนใหญ่ดังเป็นระยะๆ บรรยากาศแห่งความเศร้าสร้อยแผ่มายังข้างนอกบริเวณที่นั่งอยู่ ทุกคนก็ชะเง้อชะแง้หวังว่าจะได้เห็นอะไรบ้าง แต่ก็เห็นเพียงยอดพระเมรุเท่านั้น ยิ่งสายคนก็เดินเข้ามาพร้อมๆกับจิตอาสาตะโกนบอก ชิดขวาๆ เดินเข้ามาแล้วก็เดินวนกลับออกไป ทำไมไม่มีใครกั้นไม่ให้เข้ามานะ ในเมื่อเข้ามาก็ไม่มีที่ให้แม้แต่จะยืน รถก็เข้าๆออกอยู่นั่น เลยบอกน้องที่ไปด้วย เราออกไปหาที่อยู่อื่นก่อนไหม เผื่อคืนนี้มีจุดที่เข้าไปได้ค่อยเข้าไป อยู่อย่างนี้ไม่มีความสงบเลย แล้วจะทำจิตภาวนาส่งถึงพระองค์ได้ยังไง โชคดีที่ได้น้องเข้าใจกันก็ตามกันออกมา แวะเกสต์เฮ้าส์แถวถนนข้าวสารใกล้ๆกันนั้นกำลังเปิดโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจอยู่ เข้าไปนั่งดูแล้วน้ำตาไหลไป โดยเฉพาะเพลงสรรเสริญพระบารมีส่งเสด็จจากพระโกศสู่พระเมรุมาศที่เศร้าที่สุดในโลก ยืนทำความเคารพพร้อมกับน้ำตาไหล รู้สึกอ่อนแรง โหวงเหวง ใจหาย เพราะรู้ว่าต่อนี้ไปมีเพียงพระนามเท่านั้นกับคุณความดีที่จะระลึกถึงได้ ยิ่งคิดยิ่งน้ำตาไหล เลยตกลงกันเช่าเกสต์เฮ้าส์พักก่อนทั้งๆที่ตามแผนเดิม เราจะอยู่ที่ท้องสนามหลวงถึงสี่ทุ่มที่จะมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ

เข้าพักเกสต์เฮ้าส์งีบสั้นๆเอาแรง เพราะเมื่อคืนได้งีบแค่ประมาณชั่วโมงเศษๆ ก่อนจะลุกขึ้นชวนกันไปถวายดอกไม้จันทร์ที่พระเมรุมาศจำลองใกล้ๆกันนั้น แต่ปรากฎว่ายิ่งเดินไปท้ายแถวยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ สรุปแล้วแถวยาวประมาณสามกิโล แต่ก็เข้าแถวรอกันอย่างสงบ ระหว่างนั้นก็มีจิตอาสาเอาของกินบ้าง น้ำบ้างมาแจกตลอด


แม่ลูกคู่นี้มารอเข้าแถววางดอกไม้จันทร์เสร็จ แต่ดูเหมือนแม่จะเศร้า ลูกจะหมดแรงเลยพากันนั่งและนอนพัก เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก

จากการที่ต้องรอในแถว เดินไปเรื่อยๆเดินบ้างพักบ้าง แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อ คิดแต่จะเข้าถวายดอกไม้จันทร์ ช่วงนี้ฟ้าเริ่มคลึ้ม ลมพัดเย็นสบาย เปิดทวิตเตอร์บอกที่นั่นที่นู่นมีฝนตก ยังว่าใกล้พระองค์พระบารมีคงแผ่มาถึง แต่สักพักฝนก็ตกมาห่าใหญ่ แต่ทุกคนก็ยังยืนเข้าแถวไม่แตกแถวออกไปเลย ยอมเปียกฝนด้วยใจที่มุ่งมั่น ฝนกระหน่ำมาจนเย็นยะเยือก ในใจกลับสงบอย่างประหลาด ระหว่างยืนก็กำหนดจิตพุทโธๆ รู้กายที่กำลังเผชิญเวทนา ขาที่เริ่มปวด กายที่กระทบความเย็น พอจิตสงบก็ขอถวายบุญจากใจที่สงบเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน เกิดปิติในใจ สำนึกได้ว่าเราได้ถวายสิ่งที่ต้องการให้พระองค์ท่านรับรู้ ในระยะที่พระองค์ท่านอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง แม้จะทำใจ แต่เมื่อคิดถึงว่า ต่อแต่นี้ไม่มีแล้วพระองค์ผู้เป็นเสมือนแรงบันดาลใจในยามที่ท้อ น้ำตาก็ไหลปนกับน้ำฝน ใจบอกกับตัวเองว่าร้องไปเถอะร้องเงียบๆไม่มีใครรู้...


ฝนตกอยู่นานพอสมควร เหมือนรอให้ทำใจ แล้วก็ค่อยซาลง ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รอมาตั้ง บ่ายโมงจนถึงสี่โมงครึ่ง ก็มีสัญญาณให้หยุดถวายดอกไม้จันทร์ เพราะในหลวง ร ๑๐ และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ต้องรอช่วงสองหลังหกโมงครึ่ง แถวยังยาวอย่างไม่มีวี่แววจะได้ถวายดอกไม้จันทร์ จิตอาสามาบอกว่าต้องวางภายในสี่ทุ่ม พวกเราก็เริ่มร้อนใจกลัวไม่ทัน พอดีมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งชวนไปถวายพระเมรุมาศจำลองใกล้ๆกันที่วัดบวรนิเวศน์ เลยออกจากแถวตามกันไป พอไปถึงสักพักก็ได้วางดอกไม้จันทร์ในเวลาเพียง ๕-๑๐ นาที สำเร็จลุล่วงไปอีกหนึ่งภารกิจ

เสร็จแล้วเลยเดินกลับที่พัก เพราะไม่สามารถเข้าไปยังท้องสนามหลวงได้ รีบอาบน้ำเพื่อให้ทันกับเวลาสี่ทุ่มที่จะถวายพระเพลิงจริง ถึงเวลาก็นั่งสวดมนต์ “ปรมินทมหาภูมิพละอตุลยะเตชะมหาราชัสสะปัตติทานคาถา” น้อมจิตถวายเป็นพระราชกุศลและกราบขอขมากรรมตลอดจนรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ หากข้าพระพุทธเจ้ายังเวียนว่ายตายเกิดภพใดก็ดีขอข้าพระพุทธเจ้ามีกรรมสัมพันธ์อันดีที่จะได้เกิดภายใต้เบื้องพระยุคลบาทจนกว่าจะเข้านิพพาน หากพระองค์ได้พบพระธรรมอันประเสริฐขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีส่วนแห่งธรรมนั้นจนถึงกาลดับทุกข์เทอญ

  การมาครั้งนี้ให้ความรู้สึกที่หลากหลายทั้งเศร้า อาลัย ใจหาย อิ่มเอม ปิติ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้มาคงค้างคาใจจนกว่าตัวเองจะสูญสิ้นความทรงจำไปเลยทีเดียว เพราะพระองค์ทรงเป็น พระราชา สถิตในดวงใจนิรันดร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น