วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทำใจได้...สบายทุกอย่าง

entry ที่แล้วพูดเรื่องความเชื่อใจ เลยคิดว่า เอาหมวดใจนี่แหละมาเขียน ได้หลายentry ดี หุหุ
แบบอ่านเรื่องนั้น นู้น นี่ มาจับแพะชนแกะ ให้ได้ entry มาอ่านแบบชิลๆ กัน

ฮะแอ้ม...คราวนี้เอาเรื่อง ทำใจ ที่ไม่ใช่ทัมใจยาแก้ปวด แต่ถ้าใครปวดใจก็มาอ่านกันนะคะ

ความเป็นจริงแล้วใจนั้นบริสุทธิ์ผ่องใส กิเลสเข้าจับทำให้สกปรกไปตามกิเลส ปล่อยให้กิเลสจับมากเพียงไร ใจก็สกปรกขึ้นเพียงนั้น นำกิเลสออกเสียบ้าง ใจก็จะลดความสกปรกลงบ้าง

กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของใจ คือโลภ โกรธ หลง นั้นนำออกจากใจได้จริง นำออกมากน้อยเพียงใดก็ได้ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยปัญญาเป็นสำคัญ ผู้มีปัญญา มีความเห็นชอบ เห็นถูก ย่อมเห็นว่ากิเลสเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมองจริง จึงไม่ควรปล่อยไว้

ในเมื่อไม่ต้องการมีใจเศร้าหมอง แต่ต้องการมีใจผ่องใส เป็นสุข โลภก็ตาม โกรธก็ตาม หลงก็ตาม ทำให้ใจเศร้าหมองทั้งสิ้น มีมากก็เศร้าหมองมาก มีน้อยก็เศร้าหมองน้อย ไม่มีเลยก็ไม่เศร้าหมองเลย

ลองถามตนเองดูว่า ต้องการเป็นทุกข์เศร้าหมองหรือ ก็จะได้คำตอบแน่นอนว่า ไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ต้องการเป็นสุข ผ่องใส ยิ่งเป็นสุขผ่องใสเท่าไรก็ยิ่งดี เป็นสุขผ่องใสตลอดเวลาก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ

เมื่อได้คำตอบ รู้ความต้องการของตนเช่นนี้ ก็ให้ยอมเชื่อว่าการจะทำใจให้เป็นสุขผ่องใสนั้น ไม่มีใครทำให้ใครได้ เจ้าตัวต้องทำเอง วิธีทำคือเมื่อเกิดโลภ โกรธ หลงขึ้นเมื่อใด ให้พยายามมีสติรู้ให้เร็วที่สุด และใช้ปัญญายับยั้งเสียให้ทันท่วงที
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ฟังดูเหมือนง่ายเนอะ แต่การที่จะลดความเศร้าหมองของจิตใจหรือลดความทุกข์ทางใจลง สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ขณะที่กำลังของสติยังไม่เข้มแข็ง บางคนยังยึดมั่นถือมั่นกับความทุกข์ การผูกใจเจ็บ ละวางลงไม่ได้ง่ายๆ ก็คือ "การให้อภัย" ในทางพุทธศาสนาถือว่าการให้อภัยทานจะได้อานิสงส์ผลบุญเท่ากับธรรมทาน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตของตัวเอง เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อภัยทานคือปัจจัยแห่งพระนิพพาน เริ่มจากให้อภัยตัวเองก่อน แทนที่จะนึกเจ็บใจตัวเองว่า ทำไมถึงโง่ให้เขาหลอกอย่างนี้ ก็นึกให้อภัยตัวเองว่า เราเป็นคนดี มีความจริงใจถึงไม่รู้เท่าทันเขา เราไม่ได้โง่สักหน่อย

การให้อภัยเป็นการสกัดความรู้สึกลบอย่างเด็ดขาด ความรู้สึกโกรธแค้นจะหายไป แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้อภัยจากความรู้สึกไม่ใช่จากความคิด เราอาจจะคิดให้อภัย แต่ความรู้สึกลึกๆยังอาฆาตพยาบาท กรรมเก่านั้นก็ยังฝังตัวอยู่ รอการแสดงผลต่อไปในอนาคต การไม่รู้จักให้อภัยหรือไม่มีเมตตา ก็คือการจองเวรผูกเวร ที่จะต้องกลับมารับกรรมนั้นอีก ดังนั้นหากเราจะตัดกรรมเราต้องรู้จัก "การให้อภัย" เป็นการให้อโหสิกรรม ไม่ให้กรรมนั้นก่อผลข้ามภพข้ามชาติผูกต่อกันไปอีก

เมื่อจิตใจเราให้อภัยแล้วก็จะมีเกิดความรู้สึกดีๆ ให้ใส่ใจอยู่กับรสสุขของภาวะแห่งจิตไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าอยู่ในอาการแผ่เมตตาแล้ว การตกเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลบเสมอไป การที่เราถูกคนอื่นหลอกก็ไม่จำเป็นต้องโกรธกลับ จงคิดว่าเขากำลังมีปัญหาบางอย่างที่คับข้องใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ กลัวที่จะพูดความจริงแล้วสูญเสียผลประโยชน์บางอย่าง ฯลฯ แทนที่จะโกรธ ควรเห็นใจและสงสารเขา วิธีการเมื่อถูกกระทำคือ การแผ่เมตตา จะช่วยทำให้ลดความรู้สึกลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกพยาบาท เมตตาจิตจะทำให้เราละจากการจองเวร จิตใจเย็นชุ่มชื่นอันเนื่องมาจากการระงับของเวรทั้งปวง จิตจะสงบ อ่อนโยน และมีความสุข

พอทำใจได้...ก็สบายทุกอย่าง...จริงๆ

ขอขอบคุณบันทึกของคุณ Patidta Wisetbupha กัลยาณมิตรใน Social network ที่ได้คัดมาบางส่วน

2 ความคิดเห็น:

  1. คนอื่นไม่รักคุณสิบปี ดีกว่าไม่รักตัวเองวันเดียว เพราะวันเดียวที่ไม่รักตัวเอง ก็เพียงพอจะทำลายคุณได้ทั้งชีวิ​ตแล้ว - ดังตฤณ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2554 เวลา 20:26

    เคยไหมที่พอเห็นหน้าบางคนแล้วรู้สึกว่า คนๆนี้ไม่จริงใจพูดอย่างทำอย่าง มันรู้สึกไม่สนิทใจจนไม่อยากพูดด้วยเลย ...พยายามทำใจนะ แต่ก็ยากชะมัด ถ้าไม่เห็นหน้าก็พอทำใจ แต่เห็นหน้าแล้ว..เฮ้อ ทำใจลำบาก....

    ตอบลบ