ธรรมะจากครูบาอาจารย์
"ในการนั่งภาวนานี้ ถึงแม้เราจะไม่มีความรู้อะไรเลย ก็ให้รู้เพียงว่า ลมเข้าเราก็รู้ ลมออกเราก็รู้ ลมยาวเราก็รู้ ลมสั้นเราก็รู้ ลมสบายเราก็รู้ หรือลมไม่สบายเราก็รู้ เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้ส่วน "สัญญา" ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในใจของเรานั้น ก็ให้ปัดทิ้งเสีย ทั้งดีและชั่ว ทั้งอดีตอนาคต ไม่ให้นำมายุ่งเกี่ยวและก็ไม่ต้องต้องไปแก้ไข เมื่อสัญญาผ่านเข้ามา ก็ปล่อยให้ผ่านไปตามเรื่องของมัน ความรู้ของเราก็ให้เฉยอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว
ข้อที่ว่าใจเราไปอย่างนั้นไปอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแต่สัญญามันพาไป เท่านั้น สัญญา นี้เปรียบเหมือนกับ "เงา" ส่วนตัวจริงของมันนั้นก็คือ"จิต" ต่างหาก
ถ้ากายของเราเฉยไม่มีอาการเคลื่อนไหวไปมาแล้ว เงาของเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร ?
เพราะกายของเรามันไหวไม่อยู่นิ่ง เงาของเราจึงไหวไปด้วย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไปจับเอาเงามาอย่างไร? เงานี้จะจับมันก็ยาก จะละมันก็ยาก จะตั้งให้เที่ยงก็ยาก ความรู้ที่เป็นตัวปัจจุบัน นั่นแหละคือ "ตัวจริง" ส่วนความรู้ที่เป็นไปตามสัญญานั้น ก็คือ "เงา"
ความรู้ตัวจริงนั้น ย่อมเป็นตัวที่อยู่คงที่ ไม่มีอาการยืน เดิน ไปมา ส่วนจิต ก็คือ "ตัวรู้" ซึ่งไม่มีอาการไปอาการมา ไม่มีไปข้างหน้า ไม่มีมาข้างหลัง มันก็สงบเฉยอยู่ และเมื่อตัวจิตราบเรียบอยู่ในปกติไม่มีความคิดนึกวอกแวกไปอย่างนี้ ตัวเราก็ย่อมสบาย คือ จิตไม่มีเงา
ถ้าจิตของเราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ก็ย่อมจะเกิดสัญญาขึ้นมา และเมื่อสัญญาเกิดขึ้น มันก็ฉายแสงออกมา และเราก็จะไหลไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละมันเสีย ใช้ไม่ได้ จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า "ตัวรู้" นั้น ไม่เป็นไรดอก แต่ "เงา" สัญญานั้นแหละสำคัญ
เราจะมุ่งไปทำให้ "เงา" มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น "เงา" มันดำเราจะเอาสบู่ไปขัดฟอกจนตายมันก็ไม่หายดำเพราะเงามันไม่มีตัว ฉะนั้น สัญญาความคิดนึกต่าง ๆ เราจะทำให้ดีเลว ย่อมได้
เพราะมันเป็นเพียง "หุ่น" หลอกเราเท่านั้น
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ใครไม่รู้จัก ตัว ไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จัก ใจ ไม่รู้จัก เงา ของตัวเอง นั่นคือ อวิชชา คนที่สำคัญว่าจิต เป็นตน ตนเป็นจิต จิตเป็นสัญญา ปนเปกันไปหมดเช่นนี้
เขาเรียกว่า "คนหลง" คือเหมือนกับคนที่หลงป่า
การหลงป่านั้นย่อมจะต้องลำบากทุก ๆ อย่าง ทั้งอันตรายในสัตว์ป่า ทั้งลำบากในเรื่องอาหารการกิน และการหลับการนอนจะมองไปทางไหนก็หาทางออกไม่พบ
แต่ที่เรา "หลงโลก" นี้ก็ยิ่งจะร้ายไปกว่า "หลงป่า" ตั้งหลายเท่า เพราะจะไม่รู้จักทั้งกลางวันกลางคืน และไม่ได้พบกับความสว่างไสวเลย เพราะดวงจิตมันมืดไปด้วย "อวิชชา"
ฉะนั้น การที่เรามาทำความสงบอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เรื่องราวต่าง ๆ ลดน้อยลง เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ น้อยไปแล้ว จิตก็จะมีความสงบ เมื่อจิตได้รับความสงบก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้นในตัว เกิด "วิชชา" เป็นความรู้ขึ้น ถ้าความยุ่งยากมากขึ้น ความรู้ก็จะไม่เกิดขึ้นได้ นั่นเป็นความมืด
ดวงจิตที่เจือปนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์ นั่นก็เหมือนกับเรือที่ถูกลมพายุอันพัดมาจากข้างหลัง ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวา ทั้ง ๘ ด้าน ๘ ทิศ
มันก็จะไม่ทำให้เรือนั้นตั้งลำตรงอยู่ได้ มีแต่จะทำให้เรือจมลง ๆ ไฟที่จะใช้สอยก็ดับหมดด้วยอำนาจความแรงของกระแสลมที่พัดมานั้น
สัญญานี้เหมือนกับระลอกคลื่น ที่วิ่งไปมาในมหาสมุทร ใจนั้นก็เปรียบเหมือนกับปลาที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ธรรมดาของปลาย่อมเห็นน้ำเป็นของสนุกเพลิดเพลินฉันใด บุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยอวิชชา ก็ย่อมเห็นเรื่องยุ่ง ๆ เป็นของเพลิดเพลินเป็นของสนุก เหมือนกับปลาที่เห็นคลื่นในน้ำเค็มเป็นของสนุกสนานสำหรับตัวมันฉันนั้น
ตามใดที่เราทำความสงบให้เรื่องต่าง ๆ บรรเทาเบาบางไปจากใจได้ ก็ย่อมทำอารมณ์ของเราให้เป็นไปใน "กรรมฐาน" คือฝังแต่ "พุทธานุสติ" เป็นเบื้องต้นจนถึง "สังฆานุสสติ" เป็นปริโยสานไว้ในจิตใจ
เมื่อเป็นไปดังนี้ ก็จะถ่ายอารมณ์ที่ชั่วให้หมดไปจากใจได้ เหมือนกับเราถ่ายของที่ไม่มีประโยชน์ออกจากเรือ และนำของที่มีประโยชน์เข้ามาใส่แทน ถึงเรือนั้นจะหนักก็ตาม แต่ใจของเราก็เบา เพราะเรื่องของบุญกุศลเป็นของเบา เมื่อใจของเราเบาอย่างนี้ภาระทั้งหลายก็น้อยลง
สัญญาต่าง ๆ ก็ไม่มี นิวรณ์ก็ไม่ปรากฏ ดวงจิตก็จะเข้าไปสู่ "กรรมฐาน" ได้ทันที
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(หลวงพ่อลี ธมฺมธโร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น