วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เหนือกว่ารัก...



สายสัมพันธ์ของคนเราหาใช่แค่เป็นคู่รักกันถึงจะทำสิ่งที่ดีๆร่วมกัน
แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เหล่าสัตว์ทั้งหลายได้เคยมีความสัมพันธ์กันทุกรูปแบบ
ตลอดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ 
ในอดีต เราต่างเคยเป็นญาติกันทั้งสิ้น แม้แต่ศัตรูของเรา จะแตกต่างกันที่กรรมที่สร้างต่อกันมา
สร้างกรรมดีก็มีความรู้สึกดีๆข้ามภพข้ามชาติมาเป็นญาติ เป็นคนรัก 
หากสร้างกรรมดีร่วมกันอีก ก็จะส่งเสริมกันและกันในการเดินทางต่อไปในทางบุญ


คู่ที่หมั่นชวนกัน ภาวนาร่วมกัน ตะลอนๆ หาวัดด้วยกัน 
จะมีสายสัมพันธ์ อีกลักษณะหนึ่ง ให้สัมผัสรู้สึก 
มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ยิ่งกว่าคู่รัก ประเภทใดๆ
มีกระแสความเยือกเย็น ที่สื่อเป็นสายสัมพันธ์ เหนียวแน่น 
อีกทั้งมีความอบอุ่นมั่นคงอีกชนิดหนึ่ง 
ที่ให้ความรู้สึกโปร่งเบา ปลอดภัย
และมีความแน่นอนกว่ากันมาก อยู่ร่วมกันนานๆ แล้ว
เมื่อกระแสจิตจูนตรงกัน ทั้งในระดับของการมีใจเปิดเป็นทาน
ช่างให้ทั้งทรัพยทาน อภัยทาน วิทยาทาน ธรรมทาน
ทั้งในระดับของการมีใจสะอาด เป็นศีล บริสุทธิ์สว่าง
ห่างจากการคลุกกิเลสหยาบหนา
ทั้งในระดับของการมีใจตั้งมั่น เป็นสมาธิ
มีความมั่นคงแน่วแน่ในภายใน
เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกัน รวมทั้งตัวเองได้
ทั้งในระดับของการมีใจปล่อยวาง อย่างเป็นพุทธิปัญญา
ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ในกันและกันรุนแรง แบบนี้นะครับ
ไปไหนก็เป็นความชุ่มฉ่ำ
สุกสว่างให้กับทุกที่ ทุกคนที่ใกล้ชิด



ดังตฤณ




แต่ไม่ว่าอย่างไร ความรักก็เป็นแค่รูปแบบหนึ่งของความทุกข์เท่านั้น ต่อให้รักกันยืดยาวจนแก่เฒ่า
วันหนึ่งก็ต้องทุกข์ใหญ่หลวงเพราะความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ดี

อยู่ในสังสารวัฏ ท่องเที่ยวเกิดตายไปเรื่อย ๆ นั้น
แม้สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่สังสารสัตว์หวังฝากไว้ให้อบอุ่นใจ
คือความรัก ความมั่นคงของเนื้อคู่ที่จะติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ
เอาเข้าจริงก็แค่ความไม่แน่นอนอีกชนิดหนึ่ง
ความแปรปรวนเป็นอื่นได้อีกชนิดหนึ่ง


 ภพชาติ ความสัมพันธ์ และสายใยต่างๆนั้นซับซ้อน
มีความไม่แน่นอนเป็นความหวังได้ด้วยเหตุปัจจัยอันลึกลับเกินหยั่ง




"มีอยู่จริงๆ ที่เป็นคู่บุญติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ
แต่ดันไปเป็นของคนอื่นเสียก่อน แล้วก็ต้องเกิดความทรมานใจกัน
แต่ขอให้จำไว้เถิด ต่อให้ครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ
ก็หาได้ทำให้ชาตินี้ ‘ใช่’ เหมือนชาติอื่นๆ ไม่ ในเมื่อพลัดไปมีเจ้าของเสียก่อนแล้ว
ให้เร่งรู้ตัวไว้เสียว่าบาปบางอย่างที่ทำไว้ร่วมกัน
สกัดกั้นไว้ไม่ให้ร่วมเรียงเคียงกันอีกในชาตินี้
เพื่อล่อลวงให้ประพฤติผิดประเวณีกัน หรือทำให้อีกฝ่ายทรยศคู่ครอง
ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มน้ำหนักบาปให้ความสัมพันธ์ข้ามภพข้ามชาติเข้าไปใหญ่
คนเราเข้าคู่กันก็ด้วยกำลังบุญ แล้วก็แยกคู่กันด้วยกำลังบาป
จะครองคู่กันเป็นสุขด้วยหนทางแห่งบาปเวรได้อย่างไร" จาก "รักแท้มีจริง" โดย "ดังตฤณ"


   

ดังนั้นจึงควรทำใจไว้แต่แรกว่า
เราทุกคนเป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยว
จะได้สบายใจในระยะยาว 
หมั่นบำเพ็ญบุญให้มีพลังในการเดินทาง
เพื่อมุ่งสู่พระนินพาน 
ความรักชั้นสูง คือ ความรักพระนิพพาน
เป็นรักที่เหนือกว่ารัก 
เมื่อรักพระนิพพานอันเป็นธรรมชาติสูงสุดเหนือสมมุติได้  
บุคคลย่อมไม่หลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต่ำกว่านั้นแบบยอมตายถวายชีวิตอีก






วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชวนไปแอ่ววัดถ้ำจอมธรรม ลำพูน

อยู่ที่ หมู่ที่ ๙ ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูนค่ะ ทางไปค่อนข้างหาลำบากนิดนึงสำหรับคนยังไม่เคยไป ถนนโล่งมากไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมามากเท่าไหร่ แต่ก็เหมาะสำหรับการต้องการความสงบ

วัดนี้เป็นวัดร้างมาหลายร้อยปี ขณะนี้กำลังได้ทำการบูรณะ ยังรับบริจาคสิ่่งก่อสร้างหลายอย่างนะคะ

พระพุทธรูปในศาลาช้างล้อม กำลังดำเนินการก่อสร้างศาลาอยู่เช่นเดียวกัน

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ธรรมะจากครูบาอาจารย์


"ในการนั่งภาวนานี้ ถึงแม้เราจะไม่มีความรู้อะไรเลย ก็ให้รู้เพียงว่า ลมเข้าเราก็รู้ ลมออกเราก็รู้ ลมยาวเราก็รู้ ลมสั้นเราก็รู้ ลมสบายเราก็รู้ หรือลมไม่สบายเราก็รู้ เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้ส่วน "สัญญา" ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในใจของเรานั้น ก็ให้ปัดทิ้งเสีย ทั้งดีและชั่ว ทั้งอดีตอนาคต ไม่ให้นำมายุ่งเกี่ยวและก็ไม่ต้องต้องไปแก้ไข 

เมื่อสัญญาผ่านเข้ามา ก็ปล่อยให้ผ่านไปตามเรื่องของมัน ความรู้ของเราก็ให้เฉยอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

ข้อที่ว่าใจเราไปอย่างนั้นไปอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแต่สัญญามันพาไป เท่านั้น สัญญา นี้เปรียบเหมือนกับ "เงา" ส่วนตัวจริงของมันนั้นก็คือ"จิต" ต่างหาก
ถ้ากายของเราเฉยไม่มีอาการเคลื่อนไหวไปมาแล้ว เงาของเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร ?

เพราะกายของเรามันไหวไม่อยู่นิ่ง เงาของเราจึงไหวไปด้วย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไปจับเอาเงามาอย่างไร? เงานี้จะจับมันก็ยาก จะละมันก็ยาก จะตั้งให้เที่ยงก็ยาก ความรู้ที่เป็นตัวปัจจุบัน นั่นแหละคือ "ตัวจริง" ส่วนความรู้ที่เป็นไปตามสัญญานั้น ก็คือ "เงา"

ความรู้ตัวจริงนั้น ย่อมเป็นตัวที่อยู่คงที่ ไม่มีอาการยืน เดิน ไปมา ส่วนจิต ก็คือ "ตัวรู้" ซึ่งไม่มีอาการไปอาการมา ไม่มีไปข้างหน้า ไม่มีมาข้างหลัง มันก็สงบเฉยอยู่ และเมื่อตัวจิตราบเรียบอยู่ในปกติไม่มีความคิดนึกวอกแวกไปอย่างนี้ ตัวเราก็ย่อมสบาย คือ จิตไม่มีเงา

ถ้าจิตของเราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ก็ย่อมจะเกิดสัญญาขึ้นมา และเมื่อสัญญาเกิดขึ้น มันก็ฉายแสงออกมา และเราก็จะไหลไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละมันเสีย ใช้ไม่ได้ จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า "ตัวรู้" นั้น ไม่เป็นไรดอก แต่ "เงา" สัญญานั้นแหละสำคัญ

เราจะมุ่งไปทำให้ "เงา" มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น "เงา" มันดำเราจะเอาสบู่ไปขัดฟอกจนตายมันก็ไม่หายดำเพราะเงามันไม่มีตัว ฉะนั้น สัญญาความคิดนึกต่าง ๆ เราจะทำให้ดีเลว ย่อมได้
เพราะมันเป็นเพียง "หุ่น" หลอกเราเท่านั้น

พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ใครไม่รู้จัก ตัว ไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จัก ใจ ไม่รู้จัก เงา ของตัวเอง นั่นคือ อวิชชา คนที่สำคัญว่าจิต เป็นตน ตนเป็นจิต จิตเป็นสัญญา ปนเปกันไปหมดเช่นนี้
เขาเรียกว่า "คนหลง" คือเหมือนกับคนที่หลงป่า

การหลงป่านั้นย่อมจะต้องลำบากทุก ๆ อย่าง ทั้งอันตรายในสัตว์ป่า ทั้งลำบากในเรื่องอาหารการกิน และการหลับการนอนจะมองไปทางไหนก็หาทางออกไม่พบ

แต่ที่เรา "หลงโลก" นี้ก็ยิ่งจะร้ายไปกว่า "หลงป่า" ตั้งหลายเท่า เพราะจะไม่รู้จักทั้งกลางวันกลางคืน และไม่ได้พบกับความสว่างไสวเลย เพราะดวงจิตมันมืดไปด้วย "อวิชชา"

ฉะนั้น การที่เรามาทำความสงบอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เรื่องราวต่าง ๆ ลดน้อยลง เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ น้อยไปแล้ว จิตก็จะมีความสงบ เมื่อจิตได้รับความสงบก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้นในตัว เกิด "วิชชา" เป็นความรู้ขึ้น ถ้าความยุ่งยากมากขึ้น ความรู้ก็จะไม่เกิดขึ้นได้ นั่นเป็นความมืด

ดวงจิตที่เจือปนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์ นั่นก็เหมือนกับเรือที่ถูกลมพายุอันพัดมาจากข้างหลัง ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวา ทั้ง ๘ ด้าน ๘ ทิศ
มันก็จะไม่ทำให้เรือนั้นตั้งลำตรงอยู่ได้ มีแต่จะทำให้เรือจมลง ๆ ไฟที่จะใช้สอยก็ดับหมดด้วยอำนาจความแรงของกระแสลมที่พัดมานั้น

สัญญานี้เหมือนกับระลอกคลื่น ที่วิ่งไปมาในมหาสมุทร ใจนั้นก็เปรียบเหมือนกับปลาที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ธรรมดาของปลาย่อมเห็นน้ำเป็นของสนุกเพลิดเพลินฉันใด บุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยอวิชชา ก็ย่อมเห็นเรื่องยุ่ง ๆ เป็นของเพลิดเพลินเป็นของสนุก เหมือนกับปลาที่เห็นคลื่นในน้ำเค็มเป็นของสนุกสนานสำหรับตัวมันฉันนั้น

ตามใดที่เราทำความสงบให้เรื่องต่าง ๆ บรรเทาเบาบางไปจากใจได้ ก็ย่อมทำอารมณ์ของเราให้เป็นไปใน "กรรมฐาน" คือฝังแต่ "พุทธานุสติ" เป็นเบื้องต้นจนถึง "สังฆานุสสติ" เป็นปริโยสานไว้ในจิตใจ

เมื่อเป็นไปดังนี้ ก็จะถ่ายอารมณ์ที่ชั่วให้หมดไปจากใจได้ เหมือนกับเราถ่ายของที่ไม่มีประโยชน์ออกจากเรือ และนำของที่มีประโยชน์เข้ามาใส่แทน ถึงเรือนั้นจะหนักก็ตาม แต่ใจของเราก็เบา เพราะเรื่องของบุญกุศลเป็นของเบา เมื่อใจของเราเบาอย่างนี้ภาระทั้งหลายก็น้อยลง

สัญญาต่าง ๆ ก็ไม่มี นิวรณ์ก็ไม่ปรากฏ ดวงจิตก็จะเข้าไปสู่ "กรรมฐาน" ได้ทันที


พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์

(หลวงพ่อลี ธมฺมธโร)