วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลิงตัวที่สี่




ปิดตา ปิดหู ปิดปาก
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ปิด.ปิด.ตา.....อย่าสอดส่าย.....ให้เกินเหตุ

บางประเภท.....แกล้งทำบอด.....ยอดกุศล

มัวสอดรู้.....สอดเห็น.....จะเป็นคน-

เอาไฟลน.....ตนไป.....จนไหม้พอง

.

ปิด.ปิด.หู.....อย่าให้แส่.....ไปฟังเรื่อง

ที่เป็นเครื่อง.....กวนใจ.....ให้หม่นหมอง

หรือเร้าใจ.....ให้ฟุ้งซ่าน.....พาลลำพอง

ผิดทำนอง.....คนฉลาด.....อนาจใจ

.

ปิด.ปิด.ปาก.....อย่าพูดมาก.....เกินจำเป็น

จะเป็นคน.....ปากเหม็น.....เขาคลื่นใส้

ต้องเกิดเรื่อง.....เยิ่นเย้อ.....เสมอไป

ถ้าหุบปาก.....มากไว้.....ได้แท่งทอง

oooooooooooooooooooooooooooo

ปิด.ปิด.สื่อ... ทั้งมือถือ....เล่นกันโก้

อย่าโพสต์ โซ...เชียลมีเดีย...เสียทั้งผอง

                ไม่เป็นจริง...เสียหาย...เพราะคะนอง

                อย่าริลอง...ทำเล่น...เป็นเวรกรรม

(เพิ่มเติมโดยนักกลอนสมัครเล่นตุ๊กกาติ๊ก)

ลิง สามตัว (ญี่ปุ่น: 三猿 san'en ซันเอ็ง หรือ sansaru ซันซะรุ; 三匹の猿 sanbiki no saru ซันบิกิโนะซะรุ)คือภาพปริศนาธรรมที่มีใจความสำคัญหลักว่าด้วย "การไม่รับรู้โดยการมองในสิ่งที่ไม่ดี การไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี และการไม่กล่าววาจาในสิ่งที่ไม่ดี"

ดังนั้นลิงตัวที่สี่ จึงหมายถึงการไม่รับรู้โพสต์ข้อความในสื่อต่างๆที่ไม่เป็นจริง หยาบคาย ชั่วร้าย หรือก่อให้เกิดอารมณ์ที่ยั่วยุกิเลสให้จิตใจเศร้าหมอง 

เข้ากับยุคสมัยนี้จริงๆ อยากรู้จังว่า รุ่นต่อๆไปจะมีลิงเพิ่มขึ้นอีกกี่ตัวน้อ...

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

สัจธรรม....ความจริงของชีวิต




จากนี้ไปจนนิรันดร์ บรรเลงขลุ่ย By ThePC

ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง
ที่จะเป็นของเราจริงๆ
มีแต่คนที่จะอยู่กับเรา
ในช่วงเวลา...เวลาหนึ่ง
จะสั้นหรือยาว...เท่านั้นเอง

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สวดมนต์ไหว้พระพิจารณาสังขารแผ่บุญ 7 ประการ

สวดมนต์ไหว้พระพิจารณาสังขารแผ่บุญ 7 ประการ

บทสวดที่คิดว่าสมบูรณ์มากของพระอาจารย์สุโข กตปุญโญ สวดแล้วสงบเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ได้ทั้งสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ครูบาอาจารย์ คุณบิดามารดา บทขออโหสิกรรม บทปลงสังขาร และแผ่เมตตา สวดประจำทุกวันจะเกิดอานิสงค์อย่างยิ่ง ขอกราบขอบพระคุณที่อัพโหลดให้ฟังกัน สาธุ...สาธุ...สาธุ







วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

ปฏิบัติธรรม ตอนที่ ๑

๕ เม.ย. ๕๕
    นัดกับพี่ที่ทำงานกับ อสม.จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ ถึงเวลาเข้าจริงเหลือสองคนกับน้องเมย์ เด็กหญิงอายุ ๑๓ ขวบ กว่าจะได้ออกเดินทางก็ ๔ โมงเย็น ขับรถไปเองระยะทางเกือบร้อยกิโล แต่ไม่ชินทางเลยไปได้ไม่ไว ถึงวัดเกือบ ๖โมงเย็น เตรียมของประเภทผักสดถุงสิบกิโล ซอสหอยนางรมเจ ซีอิ๊วขาวเจ น้ำมันพืช เพราะวัดนี้ฉันอาหารเจ แม้แต่ไข่พระอาจารย์ยังไม่อนุญาต พบพระอาจารย์มหานพดล  สมาทานศีล ๘ แล้วเข้าบ้านพัก ท่านบอกมาทำวัตรเย็นตอน ๑ ทุ่ม ความจริงวันนี้พระลูกวัดของดกิจทำวัตรเย็น เพราะทำงานกันเหนื่อยมากทั้งวัน เห็นว่าจะมีบวชพระใหม่ต้องเตรียมสถานที่ ที่นี่ไม่ได้บวชพระใหม่มานานเลยต้องเตรียมการพิเศษ แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันพระอีกเลยของด ตกลงเลยมีแค่พระอาจารย์ ๑ องค์กับเราสองคน ท่านเมตตาบรรยายธรรมระหว่างนั่งสมาธิเกือบชั่วโมง ทั้งๆที่ท่านคงจะเหนื่อยมาก ท้องเจ้ากรรมร้องตอนนั่งสมาธิอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกทีเวลาอดมื้อเย็น เฮ้อ...
แต่ขณะท่านบรรยายธรรม นั่งสมาธิฟังจิตก็สงบอย่างรวดเร็ว รู้สึกเบาสบายอกสบายใจบอกไม่ถูก ดีจัง
    กลับมาบ้านพักเกือบสามทุ่ม นั่งสมาธิต่ออีก น้องเมย์ถาม " ป้าเอาม่านหน้าต่างลงมั้ย" กำลังจะบอกว่า  ไม่ต้องหรอก เพราะให้ลมเข้าบ้าง อากาศค่อนข้างร้อน แต่น้องเมย์ไม่ได้รอคำตอบ รีบเอาม่านหน้าต่างลง แล้วนั่งหลับตาอยู่ข้างๆบอกให้ไปนอนในห้องใกล้ๆกันก็ไม่ยอม เลยนั่งสมาธิต่ออีกชั่วโมง ก่อนพากันนอน หลับๆตื่นเพราะกลัวตื่นไม่ทันไปทำวัตรเช้าตอนตีสี่
   มารู้เหตุผลว่าน้องเมย์เอาม่านหน้าต่างลงตอนหลัง เพราะบอกว่า
 "น้องเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยสีเขียว หน้าสีเขียวด้วย มาเยี่ยมหน้าที่หน้าต่าง..."
 ถามว่า "ทำไมน้องไม่บอกป้าล่ะ " เจ้าตัวตอบหน้าตาเฉย " น้องกลัวป้าติ๊กกลัว"
"แล้วน้องไม่กลัวเหรอ"
"กลัวเหมือนกัน แต่หลับตาลงก็ไม่กลัว"
เนี่ยเขาเลยว่าไง ว่า ไม่ปรุงแต่งก็ไม่เรื่องมาก เด็กๆคิดเพียงแค่ว่า เห็นก็กลัว ไม่เห็นเสียจะได้ไม่กลัว คงไม่ได้คิดเลยเถิดเหมือนผู้ใหญ่
    อาจมีคนแย้งว่า เชื่อเด็กได้ไง งมงาย ก็ไม่ได้เชื่อมากมาย แต่มีเหตุการณ์ที่ตามมานี่สิ ทำให้ความเชื่อเริ่มคลอนแคลนว่า เด็กพูดไปเรื่อยคิดไปเรื่อยนั้น อาจเป็นจริง
   สรุปว่า คืนแรกก็เริ่มมีอะไรแปลกๆแล้ว อีกสามวันจะมีอะไรอีก โปรดติดตามตอนต่อไป....



วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

คอหมูย่าง




เครื่องปรุง
เนื้อสันคอหมูแล่ส่วนมันออกบ้าง 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำจิ้ม
น้ำมะขามเปียกต้มสุก 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 หัว
ต้นหอม ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
พริกป่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 1-2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. สันคอหมูแล่เป็นชิ้นสำหรับย่าง
2. ผสมน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรม พริกไทยป่น เกลือ เหล้า เข้าด้วยกัน ลองแตะลิ้นชิมดู อย่าให้เค็มหรือหวานมากจนเกินไป
3. นำหมูที่แล่ไว้มาเคล้านวดเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมเข้าเนื้อหมูหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
4. นำไปย่างไฟกลางค่อนข้างอ่อนจนสุกเหลือง นำมาหั่นเป็นชิ้นบางพอคำ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม
5. น้ำจิ้ม ผสมน้ำตาลปิ๊บ น้ำปลา น้ำมะขามต้มสุก เข้าด้วยกัน ลองชิมดูให้ได้รสเค็ม เปรี้ยว หวาน (เผื่อรสเปรี้ยวไว้หน่อยเพราะจะต้องใส่น้ำมะนาวอีก) ใส่พริกป่น ข้าวคั่วคนให้เข้ากัน ใส่หอมแดงซอย ต้นหอม ผักชีฝรั่งซอยคนให้เข้ากันเสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันเกิดปีนี้....

วันนี้ ๓ มี.ค. เป็นวันพิเศษ....
ครบรอบวันเกิดหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ที่เราเคารพนับถือ
ครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่ขาวปีวัดพระบาทผาหนาม
ครบรอบวันตายของพ่อที่เราเคารพรัก
และครบรอบวันเกิดของเรา...

เช้า ตื่นตั้งแต่ตีสี่ สวดมนตร์ทำวัตรเช้าแล้วนั่งสมาธิจนถึงหกโมงเช้า ปีนี้แม่มาอยู่บ้านด้วยเลยเตรียมดอกไม้ใส่พานไปขออโหสิกรรมที่ได้ล่วงเกิน ผสมน้ำอุ่นล้างเท้าให้แม่แถมตัดเล็บให้ด้วย ก่อนเตรียมอาหารเช้าให้ทาน เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้เพราะวันนี้จะไปทำบุญวัดบนดอย แม่ไปด้วยจะลำบากแม่ แม่อนุโมทนาบุญที่บ้านจะดีกว่า
ไปรับพี่ทม อสม.กับน้องเมย์ ก่อนไปรับ พขร.กิติมศักดิ์ที่แฟลตโรง'บาล แล้วมุ่งหน้าไปวัดถ้ำจอมธรรมที่เคยไป บรรยากาศแห้งแล้งมาก มีแต่ฝุ่นกับใบไม้แห้ง

หลวงพ่ออยู่องค์เดียว เข้าไปกราบนมัสการ ถวายสังฆทาน ถวายเงินสำหรับทำบุญสร้างพระเจ้าทันใจ๋วันที่ ๘ เดือนเมษายน ซึ่งเป็นครบรอบวันเกิดพ่ออีก อะไรจะบังเอิญขนาดนี้นะ










จากนั้นก็พากันขึ้นไปที่ถ้ำ ทางเดินขึ้นมีแต่ใบไม้แห้ง เลยช่วยกันทำความสะอาด กวาดซะเอี่ยม ดูแล้วสบายตาขึ้นเยอะ



" เอี่ยมแล้ว..."









ขณะที่คนอื่นๆกำลังกวาดใบไม้อย่างขมักเขม้น ก็แอบไปนั่งสมาธิบนหินก้อนเดิม จิตนิ่งจนไม่รู้เจ็บทั้งๆที่หินที่นั่งอยู่แสนจะขรุขระ บางครั้งวูบเหมือนเข้าภวังค์ สักพักก็เหมือนมีแสงสีขาววาบมาเป็นพักๆ เหมือนจะมีความรู้สึกว่าข้างล่างในถ้ำมีพญานาคอยู่ ก็ยังขำตัวเองอยู่ว่ารู้สึกอย่างนั้นไปได้ไง แต่ก็ไม่กล้าคลานเข้าไปในถ้ำที่แสนแคบขนาดแค่คนตัวเล็กๆเข้าไปได้ กลัวเจออะไรที่ไม่คาดฝันน่ะสิ

ออกจากสมาธิที่นั่งนานนับชั่วโมง จิตอิ่มเอิบมาก ตัวเบา ไม่หิวเลย ความจริงยังไม่อยากออกจากสมาธิ แต่เกรงคนอื่นจะหิวเพราะเลยเวลาเที่ยงมาแล้ว

กลับมาลาหลวงพ่อ ท่านบอกว่าที่วัดพระพุทธบาทผาหนามมีงานครบรอบมรณภาพของครูบาขาวปี และมีพิธีเปลี่ยนจีวรให้ครูบาซึ่งถือเป็นงานประจำปี เลยมุ่งหน้าไปวัดพระพุทธบาทผาหนามอีก

ครูบาเจ้าอภิชัย(ขาวปี) เป็นพระสงฆ์ที่มุ่งมั่นในแนวทางปฏิสัมภิทาแห่งครูของท่าน ท่านได้ก่อสร้างบูรณะศาสนสถานในท้องที่ต่างๆมากมายไม่ต่ำกว่าร้อยแห่ง ยึดมั่นในแนวทางบุญตามแบบมรรควิธีที่ครูของท่านได้บำเพ็ญมาชั่วชีวิต ท่านถูกกลั่นแกล้ง ถูกกระทำ ถูกจับไปติดคุก ถูกทางการบ้านเมืองเพ่งเล็ง ถูกจับสึกสองหนสามหนท่ามกลางน้ำตาของศรัทธาชาวบ้านทั้งหลายที่เลื่อมใสท่าน แต่ท่านก็ไม่ตอบโต้ ไม่ถือแค้นคุมเคียดใดๆทั้งสิ้น ปฏิปทาของท่านข้อหนึ่งมีว่า


"บางทีท้าวพญาเสนาผู้ใหญ่จักมากดขี่ข่มเหงเตงเต็ก บุบตีผูกมัดขับกว่าไล่หนี หื้อเราได้เป็นทุกขเวทนามากนัก เราก็บ่ไหวบ่เฟือนด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ก็(บ่)ไหวบ่เฟือนแล้ว ต่อทีหลังโลกก็จักมาพึ่งพะอาศัยกับเรา ถ้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบ่มั่นก็จักพาโลกหลุดเหลวไหล เป็นดั่งร้านจิบพาคนไหลน้ำนั้น" (ปถมมูลกรรมฐาน ๔๐ทัส ฯ หน้า๓๐)
จาก บทความ "ตัวเมือง เรื่องเล่า ' กำเนิดแผ่นดิน' 
" โพสท์ใน www.lannaworld.com โดย มาลา คำจันทร์จันทร์
วันเกิดปีนี้แสนจะเรียบง่าย อิ่มบุญ มีแต่คำอวยพรจากคนใกล้ชิดไม่กี่คน ได้รับเค้กวันเกิดจากลูกๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือคำอวยพรของแม่ ที่ถือว่าเป็นพรอันศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การเดินทางในสังสารวัฏได้มาครึ่งค่อนทางแล้ว สังขารย่อมเสื่อมลงไปเป็นธรรมดา อิอิ ถึงเวลาต้องพิจารณาสังขารแล้ว ไปสวดมนตร์ไหว้พระก่อนดีกว่า
ขอแบ่งบุญที่ทำมาวันนี้ให้ทุกๆคนด้วยนะคะ ขอให้พ้นจากทุกข์ ขอให้มีสุขยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะถึงทางดับทุกข์เทอญ...





วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เหนือกว่ารัก...



สายสัมพันธ์ของคนเราหาใช่แค่เป็นคู่รักกันถึงจะทำสิ่งที่ดีๆร่วมกัน
แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เหล่าสัตว์ทั้งหลายได้เคยมีความสัมพันธ์กันทุกรูปแบบ
ตลอดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ 
ในอดีต เราต่างเคยเป็นญาติกันทั้งสิ้น แม้แต่ศัตรูของเรา จะแตกต่างกันที่กรรมที่สร้างต่อกันมา
สร้างกรรมดีก็มีความรู้สึกดีๆข้ามภพข้ามชาติมาเป็นญาติ เป็นคนรัก 
หากสร้างกรรมดีร่วมกันอีก ก็จะส่งเสริมกันและกันในการเดินทางต่อไปในทางบุญ


คู่ที่หมั่นชวนกัน ภาวนาร่วมกัน ตะลอนๆ หาวัดด้วยกัน 
จะมีสายสัมพันธ์ อีกลักษณะหนึ่ง ให้สัมผัสรู้สึก 
มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ยิ่งกว่าคู่รัก ประเภทใดๆ
มีกระแสความเยือกเย็น ที่สื่อเป็นสายสัมพันธ์ เหนียวแน่น 
อีกทั้งมีความอบอุ่นมั่นคงอีกชนิดหนึ่ง 
ที่ให้ความรู้สึกโปร่งเบา ปลอดภัย
และมีความแน่นอนกว่ากันมาก อยู่ร่วมกันนานๆ แล้ว
เมื่อกระแสจิตจูนตรงกัน ทั้งในระดับของการมีใจเปิดเป็นทาน
ช่างให้ทั้งทรัพยทาน อภัยทาน วิทยาทาน ธรรมทาน
ทั้งในระดับของการมีใจสะอาด เป็นศีล บริสุทธิ์สว่าง
ห่างจากการคลุกกิเลสหยาบหนา
ทั้งในระดับของการมีใจตั้งมั่น เป็นสมาธิ
มีความมั่นคงแน่วแน่ในภายใน
เป็นที่พึ่งให้แก่กันและกัน รวมทั้งตัวเองได้
ทั้งในระดับของการมีใจปล่อยวาง อย่างเป็นพุทธิปัญญา
ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ในกันและกันรุนแรง แบบนี้นะครับ
ไปไหนก็เป็นความชุ่มฉ่ำ
สุกสว่างให้กับทุกที่ ทุกคนที่ใกล้ชิด



ดังตฤณ




แต่ไม่ว่าอย่างไร ความรักก็เป็นแค่รูปแบบหนึ่งของความทุกข์เท่านั้น ต่อให้รักกันยืดยาวจนแก่เฒ่า
วันหนึ่งก็ต้องทุกข์ใหญ่หลวงเพราะความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ดี

อยู่ในสังสารวัฏ ท่องเที่ยวเกิดตายไปเรื่อย ๆ นั้น
แม้สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่สังสารสัตว์หวังฝากไว้ให้อบอุ่นใจ
คือความรัก ความมั่นคงของเนื้อคู่ที่จะติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ
เอาเข้าจริงก็แค่ความไม่แน่นอนอีกชนิดหนึ่ง
ความแปรปรวนเป็นอื่นได้อีกชนิดหนึ่ง


 ภพชาติ ความสัมพันธ์ และสายใยต่างๆนั้นซับซ้อน
มีความไม่แน่นอนเป็นความหวังได้ด้วยเหตุปัจจัยอันลึกลับเกินหยั่ง




"มีอยู่จริงๆ ที่เป็นคู่บุญติดตามกันมาหลายภพหลายชาติ
แต่ดันไปเป็นของคนอื่นเสียก่อน แล้วก็ต้องเกิดความทรมานใจกัน
แต่ขอให้จำไว้เถิด ต่อให้ครองคู่กันมาเป็นล้านชาติ
ก็หาได้ทำให้ชาตินี้ ‘ใช่’ เหมือนชาติอื่นๆ ไม่ ในเมื่อพลัดไปมีเจ้าของเสียก่อนแล้ว
ให้เร่งรู้ตัวไว้เสียว่าบาปบางอย่างที่ทำไว้ร่วมกัน
สกัดกั้นไว้ไม่ให้ร่วมเรียงเคียงกันอีกในชาตินี้
เพื่อล่อลวงให้ประพฤติผิดประเวณีกัน หรือทำให้อีกฝ่ายทรยศคู่ครอง
ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มน้ำหนักบาปให้ความสัมพันธ์ข้ามภพข้ามชาติเข้าไปใหญ่
คนเราเข้าคู่กันก็ด้วยกำลังบุญ แล้วก็แยกคู่กันด้วยกำลังบาป
จะครองคู่กันเป็นสุขด้วยหนทางแห่งบาปเวรได้อย่างไร" จาก "รักแท้มีจริง" โดย "ดังตฤณ"


   

ดังนั้นจึงควรทำใจไว้แต่แรกว่า
เราทุกคนเป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยว
จะได้สบายใจในระยะยาว 
หมั่นบำเพ็ญบุญให้มีพลังในการเดินทาง
เพื่อมุ่งสู่พระนินพาน 
ความรักชั้นสูง คือ ความรักพระนิพพาน
เป็นรักที่เหนือกว่ารัก 
เมื่อรักพระนิพพานอันเป็นธรรมชาติสูงสุดเหนือสมมุติได้  
บุคคลย่อมไม่หลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต่ำกว่านั้นแบบยอมตายถวายชีวิตอีก






วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชวนไปแอ่ววัดถ้ำจอมธรรม ลำพูน

อยู่ที่ หมู่ที่ ๙ ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูนค่ะ ทางไปค่อนข้างหาลำบากนิดนึงสำหรับคนยังไม่เคยไป ถนนโล่งมากไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมามากเท่าไหร่ แต่ก็เหมาะสำหรับการต้องการความสงบ

วัดนี้เป็นวัดร้างมาหลายร้อยปี ขณะนี้กำลังได้ทำการบูรณะ ยังรับบริจาคสิ่่งก่อสร้างหลายอย่างนะคะ

พระพุทธรูปในศาลาช้างล้อม กำลังดำเนินการก่อสร้างศาลาอยู่เช่นเดียวกัน

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ธรรมะจากครูบาอาจารย์


"ในการนั่งภาวนานี้ ถึงแม้เราจะไม่มีความรู้อะไรเลย ก็ให้รู้เพียงว่า ลมเข้าเราก็รู้ ลมออกเราก็รู้ ลมยาวเราก็รู้ ลมสั้นเราก็รู้ ลมสบายเราก็รู้ หรือลมไม่สบายเราก็รู้ เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้ส่วน "สัญญา" ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในใจของเรานั้น ก็ให้ปัดทิ้งเสีย ทั้งดีและชั่ว ทั้งอดีตอนาคต ไม่ให้นำมายุ่งเกี่ยวและก็ไม่ต้องต้องไปแก้ไข 

เมื่อสัญญาผ่านเข้ามา ก็ปล่อยให้ผ่านไปตามเรื่องของมัน ความรู้ของเราก็ให้เฉยอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

ข้อที่ว่าใจเราไปอย่างนั้นไปอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแต่สัญญามันพาไป เท่านั้น สัญญา นี้เปรียบเหมือนกับ "เงา" ส่วนตัวจริงของมันนั้นก็คือ"จิต" ต่างหาก
ถ้ากายของเราเฉยไม่มีอาการเคลื่อนไหวไปมาแล้ว เงาของเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร ?

เพราะกายของเรามันไหวไม่อยู่นิ่ง เงาของเราจึงไหวไปด้วย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไปจับเอาเงามาอย่างไร? เงานี้จะจับมันก็ยาก จะละมันก็ยาก จะตั้งให้เที่ยงก็ยาก ความรู้ที่เป็นตัวปัจจุบัน นั่นแหละคือ "ตัวจริง" ส่วนความรู้ที่เป็นไปตามสัญญานั้น ก็คือ "เงา"

ความรู้ตัวจริงนั้น ย่อมเป็นตัวที่อยู่คงที่ ไม่มีอาการยืน เดิน ไปมา ส่วนจิต ก็คือ "ตัวรู้" ซึ่งไม่มีอาการไปอาการมา ไม่มีไปข้างหน้า ไม่มีมาข้างหลัง มันก็สงบเฉยอยู่ และเมื่อตัวจิตราบเรียบอยู่ในปกติไม่มีความคิดนึกวอกแวกไปอย่างนี้ ตัวเราก็ย่อมสบาย คือ จิตไม่มีเงา

ถ้าจิตของเราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ก็ย่อมจะเกิดสัญญาขึ้นมา และเมื่อสัญญาเกิดขึ้น มันก็ฉายแสงออกมา และเราก็จะไหลไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละมันเสีย ใช้ไม่ได้ จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า "ตัวรู้" นั้น ไม่เป็นไรดอก แต่ "เงา" สัญญานั้นแหละสำคัญ

เราจะมุ่งไปทำให้ "เงา" มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น "เงา" มันดำเราจะเอาสบู่ไปขัดฟอกจนตายมันก็ไม่หายดำเพราะเงามันไม่มีตัว ฉะนั้น สัญญาความคิดนึกต่าง ๆ เราจะทำให้ดีเลว ย่อมได้
เพราะมันเป็นเพียง "หุ่น" หลอกเราเท่านั้น

พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า ใครไม่รู้จัก ตัว ไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จัก ใจ ไม่รู้จัก เงา ของตัวเอง นั่นคือ อวิชชา คนที่สำคัญว่าจิต เป็นตน ตนเป็นจิต จิตเป็นสัญญา ปนเปกันไปหมดเช่นนี้
เขาเรียกว่า "คนหลง" คือเหมือนกับคนที่หลงป่า

การหลงป่านั้นย่อมจะต้องลำบากทุก ๆ อย่าง ทั้งอันตรายในสัตว์ป่า ทั้งลำบากในเรื่องอาหารการกิน และการหลับการนอนจะมองไปทางไหนก็หาทางออกไม่พบ

แต่ที่เรา "หลงโลก" นี้ก็ยิ่งจะร้ายไปกว่า "หลงป่า" ตั้งหลายเท่า เพราะจะไม่รู้จักทั้งกลางวันกลางคืน และไม่ได้พบกับความสว่างไสวเลย เพราะดวงจิตมันมืดไปด้วย "อวิชชา"

ฉะนั้น การที่เรามาทำความสงบอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เรื่องราวต่าง ๆ ลดน้อยลง เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ น้อยไปแล้ว จิตก็จะมีความสงบ เมื่อจิตได้รับความสงบก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้นในตัว เกิด "วิชชา" เป็นความรู้ขึ้น ถ้าความยุ่งยากมากขึ้น ความรู้ก็จะไม่เกิดขึ้นได้ นั่นเป็นความมืด

ดวงจิตที่เจือปนอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์ นั่นก็เหมือนกับเรือที่ถูกลมพายุอันพัดมาจากข้างหลัง ข้างหน้า ข้างซ้าย ข้างขวา ทั้ง ๘ ด้าน ๘ ทิศ
มันก็จะไม่ทำให้เรือนั้นตั้งลำตรงอยู่ได้ มีแต่จะทำให้เรือจมลง ๆ ไฟที่จะใช้สอยก็ดับหมดด้วยอำนาจความแรงของกระแสลมที่พัดมานั้น

สัญญานี้เหมือนกับระลอกคลื่น ที่วิ่งไปมาในมหาสมุทร ใจนั้นก็เปรียบเหมือนกับปลาที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ธรรมดาของปลาย่อมเห็นน้ำเป็นของสนุกเพลิดเพลินฉันใด บุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยอวิชชา ก็ย่อมเห็นเรื่องยุ่ง ๆ เป็นของเพลิดเพลินเป็นของสนุก เหมือนกับปลาที่เห็นคลื่นในน้ำเค็มเป็นของสนุกสนานสำหรับตัวมันฉันนั้น

ตามใดที่เราทำความสงบให้เรื่องต่าง ๆ บรรเทาเบาบางไปจากใจได้ ก็ย่อมทำอารมณ์ของเราให้เป็นไปใน "กรรมฐาน" คือฝังแต่ "พุทธานุสติ" เป็นเบื้องต้นจนถึง "สังฆานุสสติ" เป็นปริโยสานไว้ในจิตใจ

เมื่อเป็นไปดังนี้ ก็จะถ่ายอารมณ์ที่ชั่วให้หมดไปจากใจได้ เหมือนกับเราถ่ายของที่ไม่มีประโยชน์ออกจากเรือ และนำของที่มีประโยชน์เข้ามาใส่แทน ถึงเรือนั้นจะหนักก็ตาม แต่ใจของเราก็เบา เพราะเรื่องของบุญกุศลเป็นของเบา เมื่อใจของเราเบาอย่างนี้ภาระทั้งหลายก็น้อยลง

สัญญาต่าง ๆ ก็ไม่มี นิวรณ์ก็ไม่ปรากฏ ดวงจิตก็จะเข้าไปสู่ "กรรมฐาน" ได้ทันที


พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์

(หลวงพ่อลี ธมฺมธโร)