สุภูตเถรคาถาสุภาษิตสอนไม่ให้ดีแต่พูด...
[๓๓๖] บุรุษผู้ประสงค์จะทำธุรกิจ เมื่อประกอบตนในกิจที่ไม่ควรประกอบ ถ้าเมื่อขืนประพฤติอยู่อย่างนั้น ก็ไม่พึงได้สำเร็จผล การประกอบในกิจที่ไม่ควรประกอบนั้น มิใช่ลักษณะบุญ .ถ้าบุคคลใด ไม่ถอนความเป็นอยู่อย่างลำบากแล้วมาสละธรรมอันเอกเสียบุคคลนั้นก็พึงเป็นดังคนกาลี .ถ้าสละทิ้งคุณธรรมแม้ทั้งปวง ผู้นั้นก็พึงเป็นเหมือนคนตาบอด เพราะไม่เห็นธรรมที่สงบและธรรมไม่สงบ .บุคคลพึงทำอย่างใด พึงพูดอย่างนั้นแล ไม่พึงทำอย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำหนดรู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ ดีแต่พูดนั้นมีมาก .ดอกไม้งาม มีสีแต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำอยู่ก็ฉันนั้น .ดอกไม้งาม มีสี มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำอยู่ ฉะนั้
วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
คำสอนของครูบาอาจารย์ (๒)
อย่าทำผิดซ้ำซาก(ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)
จงระลึกถึงคติพจน์ว่า.....
...do no wrong is do nothing...
ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย
ความผิดนี้แหละเป็นครูอย่างดี
ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเอง ที่ทำอะไรผิดพลาด
และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือ ความผิด
จะได้ตรงกับคำว่า ...เจ็บแล้วต้องจำ...
ตัวทำเอง ผิดเอง นี้แหละ เป็นอาจารย์ผู้วิเศษ
เป็น ...good example... ตัวอย่างที่ดี
เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ทำผิดต่อไป
แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อ เผลอประมาท
อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านล่วงเลยไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังอยู่
คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า...
...ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำ อภัยไฉน...
จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า
นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี
และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี
ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาด
XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX
คำสอนของครูบาอาจารย์ (๑)
จงยืนกราน สลัดทั่ว ชั่งหัวมัน
ถ้าเรื่องนั้น นั้นเป็นเหตุ แห่งทุกข์หนา
อย่าสำออย ตะบอยจัด ไว้อัตตา
ตัวกูกล้า ขึ้นเรือย ๆ อัดใจตาย
เรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อย ลอยมาเอง
ไปบวกเบ่ง ให้เห็นว่า จะฉิบหาย
เรื่องเล็กน้อย ตะบอยเห็น เป็นมากมาย
แต่ละราย รีบเขวี้ยงขว้าง ชั่งหัวมัน
เมื่อตัวกู ลู่หลุบ ลงเท่าไร
จะเย็นเยือก ลงไป ได้เท่านั้น
รอดตัวได้ เพราะรู้ใช้ “ชั่งหัวมัน”
จงพากัน หัดใช้ ไว้ทุกคน ฯ
...หลวงพ่อพุทธทาส...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
คำสอนของพระพุทธเจ้า (๑)
"การปล่อยวาง" ดูก่อน อุปกะ ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหาอุปาทาน ความทะยานอยากดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราเป็นของเรา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตน เป็นของตน จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้น เป็นไม่มีหาไม่ได้ในโลกนี้...
เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ สักแต่ว่าเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากการยึดถือต่างๆ ปลอดโปร่ง แจ่มใส เบิกบานอยู่...
ดูก่อน อุปกะ เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความยึดมั่น ถือมั่นเรื่องตัวตนเสียด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบายคลายทุกข์ คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
So cute...
One must heal themselves separate from another.
Another cannot heal you.
อะไรที่มันเยอะๆ ยากๆ เหวี่ยงๆ ...ก็เปลี่ยนให้เป็นน้อยๆ ง่ายๆ นิ่งๆ...
ชีวิตสุขขึ้นอีกโขเลย
การที่ใครสักคนต้องอดทน...เป็นตัวบั่นทอนความรัก
ไม่ต้องอยากรู้เรื่องของคนอื่นมากนัก ก้อจะเป็นการดีกับชีวิต
(ไม่ต้องเจือกเป็น spy เลย)
Warm friendship....
Never miss an opportunity to make others happy,
even if you have to leave them alone in order to do it. ~Author Unknown
ขอบคุณภาพน่ารักๆจาก Awaken Fool แวดวงใน Google +
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
Another cannot heal you.
อะไรที่มันเยอะๆ ยากๆ เหวี่ยงๆ ...ก็เปลี่ยนให้เป็นน้อยๆ ง่ายๆ นิ่งๆ...
ชีวิตสุขขึ้นอีกโขเลย
การที่ใครสักคนต้องอดทน...เป็นตัวบั่นทอนความรัก
ไม่ต้องอยากรู้เรื่องของคนอื่นมากนัก ก้อจะเป็นการดีกับชีวิต
(ไม่ต้องเจือกเป็น spy เลย)
Warm friendship....
Never miss an opportunity to make others happy,
even if you have to leave them alone in order to do it. ~Author Unknown
ขอบคุณภาพน่ารักๆจาก Awaken Fool แวดวงใน Google +
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ใจดี...ใจสบาย
วันนี้เป็นวันพระ ตื่นแต่เช้าหุงข้าวไปใส่บาตรวัดสันป่าสักวรอุไรธรรมาราม หางดง เชียงใหม่ แวะซื้อขนม นมเปรี้ยวไปใส่บาตรด้วย ออกสายไปหน่อย ไปถึงที่วัดพระท่านออกบิณฑบาตรกันแล้ว แต่รอใส่ตอนพระท่านมาขากลับก็ได้
เสาร์นี้ พระอาจารย์ภู หลวงพ่อวิน หลวงพ่อบรรทมไม่อยู่ ไปงานศพที่วัดแพร่ ธรรมาราม แต่คนมาทำบุญก็เยอะ ทุกคนมีอาการสำรวม พูดกันเบาๆ ใส่บาตรเสร็จก็นั่งสมาธิรอ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยทางวัดเปิดเสียงเทศน์ไปด้วยขณะนั่งสมาธิ ทำให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจพร้อมกับฟังเสียงบรรยายคุณของพระพุทธเจ้าไปพร้อมๆกัน รู้สึกปิติ สงบ เช่นทุกครั้งที่มานั่งสมาธิที่นี่ ได้กลิ่นหอมๆมาอีกแล้ว แต่ก็รู้เฉยๆเหมือนหลวงพ่อสังวาลย์บอก
ครบชั่วโมงพระอาจารย์วรพจน์ก็ลงพร้อมพระองค์อื่นๆ สวดมนต์ไหว้พระ รับศีลแล้วนั่งสมาธิฟังพระอาจารย์เทศน์เรื่องการระงับความโกรธต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วแผ่เมตตา
รู้สึกใจดี ใจสบาย เพราะได้ให้ทานรักษาศีลและภาวนาเหมือนที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เจ้าอาวาสวัดแพร่ธรรมารามได้เมตตาเตือนให้ปฏิบัติอยู่ตลอดว่า ผู้ที่มีใจดี ใจสบายนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีศีลก่อน อย่างน้อยก็ต้องรักษาศีล๕ ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง หรือถ้ารักษาศีลอุโบสถ ศีล ๘ได้ก็ยิ่งดี เพราะศีลเป็นฐานรากของการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นตัวขัดเกลากิเลส ต่อไปก็ต้องมีจิตที่นิ่ง มั่นคงไม่หวั่นไหวต่ออกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งจะนำให้เกิดปัญญาเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง นั่นก็คือหลวงพ่อท่านให้พวกเราปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ให้รักษาศีล เจริญสมาธิ ให้มีสัมมาปัญญา นั่นเอง
ขากลับ แวะดูบ้านคนไข้จิตเวชที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเงินสร้างกันในที่ดินของ ศสมช.หมู่ 4 สารภี ซึ่งขาดเงินซื้อปูน กระเบื้องมุงหลังคา ในราคา 1,700 บาท เลยรับเป็นเจ้าศรัทธาในส่วนนี้ บริจาคแล้วจิตใจชุ่มชื่น ใจดี ใจสบาย...จริงๆ..
wwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwww
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ทำใจได้...สบายทุกอย่าง
entry ที่แล้วพูดเรื่องความเชื่อใจ เลยคิดว่า เอาหมวดใจนี่แหละมาเขียน ได้หลายentry ดี หุหุ
แบบอ่านเรื่องนั้น นู้น นี่ มาจับแพะชนแกะ ให้ได้ entry มาอ่านแบบชิลๆ กัน
ฮะแอ้ม...คราวนี้เอาเรื่อง ทำใจ ที่ไม่ใช่ทัมใจยาแก้ปวด แต่ถ้าใครปวดใจก็มาอ่านกันนะคะ
ความเป็นจริงแล้วใจนั้นบริสุทธิ์ผ่องใส กิเลสเข้าจับทำให้สกปรกไปตามกิเลส ปล่อยให้กิเลสจับมากเพียงไร ใจก็สกปรกขึ้นเพียงนั้น นำกิเลสออกเสียบ้าง ใจก็จะลดความสกปรกลงบ้าง
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของใจ คือโลภ โกรธ หลง นั้นนำออกจากใจได้จริง นำออกมากน้อยเพียงใดก็ได้ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยปัญญาเป็นสำคัญ ผู้มีปัญญา มีความเห็นชอบ เห็นถูก ย่อมเห็นว่ากิเลสเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมองจริง จึงไม่ควรปล่อยไว้
ในเมื่อไม่ต้องการมีใจเศร้าหมอง แต่ต้องการมีใจผ่องใส เป็นสุข โลภก็ตาม โกรธก็ตาม หลงก็ตาม ทำให้ใจเศร้าหมองทั้งสิ้น มีมากก็เศร้าหมองมาก มีน้อยก็เศร้าหมองน้อย ไม่มีเลยก็ไม่เศร้าหมองเลย
ลองถามตนเองดูว่า ต้องการเป็นทุกข์เศร้าหมองหรือ ก็จะได้คำตอบแน่นอนว่า ไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ต้องการเป็นสุข ผ่องใส ยิ่งเป็นสุขผ่องใสเท่าไรก็ยิ่งดี เป็นสุขผ่องใสตลอดเวลาก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ
เมื่อได้คำตอบ รู้ความต้องการของตนเช่นนี้ ก็ให้ยอมเชื่อว่าการจะทำใจให้เป็นสุขผ่องใสนั้น ไม่มีใครทำให้ใครได้ เจ้าตัวต้องทำเอง วิธีทำคือเมื่อเกิดโลภ โกรธ หลงขึ้นเมื่อใด ให้พยายามมีสติรู้ให้เร็วที่สุด และใช้ปัญญายับยั้งเสียให้ทันท่วงที
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ฟังดูเหมือนง่ายเนอะ แต่การที่จะลดความเศร้าหมองของจิตใจหรือลดความทุกข์ทางใจลง สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ขณะที่กำลังของสติยังไม่เข้มแข็ง บางคนยังยึดมั่นถือมั่นกับความทุกข์ การผูกใจเจ็บ ละวางลงไม่ได้ง่ายๆ ก็คือ "การให้อภัย" ในทางพุทธศาสนาถือว่าการให้อภัยทานจะได้อานิสงส์ผลบุญเท่ากับธรรมทาน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตของตัวเอง เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อภัยทานคือปัจจัยแห่งพระนิพพาน เริ่มจากให้อภัยตัวเองก่อน แทนที่จะนึกเจ็บใจตัวเองว่า ทำไมถึงโง่ให้เขาหลอกอย่างนี้ ก็นึกให้อภัยตัวเองว่า เราเป็นคนดี มีความจริงใจถึงไม่รู้เท่าทันเขา เราไม่ได้โง่สักหน่อย
การให้อภัยเป็นการสกัดความรู้สึกลบอย่างเด็ดขาด ความรู้สึกโกรธแค้นจะหายไป แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้อภัยจากความรู้สึกไม่ใช่จากความคิด เราอาจจะคิดให้อภัย แต่ความรู้สึกลึกๆยังอาฆาตพยาบาท กรรมเก่านั้นก็ยังฝังตัวอยู่ รอการแสดงผลต่อไปในอนาคต การไม่รู้จักให้อภัยหรือไม่มีเมตตา ก็คือการจองเวรผูกเวร ที่จะต้องกลับมารับกรรมนั้นอีก ดังนั้นหากเราจะตัดกรรมเราต้องรู้จัก "การให้อภัย" เป็นการให้อโหสิกรรม ไม่ให้กรรมนั้นก่อผลข้ามภพข้ามชาติผูกต่อกันไปอีก
เมื่อจิตใจเราให้อภัยแล้วก็จะมีเกิดความรู้สึกดีๆ ให้ใส่ใจอยู่กับรสสุขของภาวะแห่งจิตไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าอยู่ในอาการแผ่เมตตาแล้ว การตกเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลบเสมอไป การที่เราถูกคนอื่นหลอกก็ไม่จำเป็นต้องโกรธกลับ จงคิดว่าเขากำลังมีปัญหาบางอย่างที่คับข้องใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ กลัวที่จะพูดความจริงแล้วสูญเสียผลประโยชน์บางอย่าง ฯลฯ แทนที่จะโกรธ ควรเห็นใจและสงสารเขา วิธีการเมื่อถูกกระทำคือ การแผ่เมตตา จะช่วยทำให้ลดความรู้สึกลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกพยาบาท เมตตาจิตจะทำให้เราละจากการจองเวร จิตใจเย็นชุ่มชื่นอันเนื่องมาจากการระงับของเวรทั้งปวง จิตจะสงบ อ่อนโยน และมีความสุข
พอทำใจได้...ก็สบายทุกอย่าง...จริงๆ
ขอขอบคุณบันทึกของคุณ Patidta Wisetbupha กัลยาณมิตรใน Social network ที่ได้คัดมาบางส่วน
แบบอ่านเรื่องนั้น นู้น นี่ มาจับแพะชนแกะ ให้ได้ entry มาอ่านแบบชิลๆ กัน
ฮะแอ้ม...คราวนี้เอาเรื่อง ทำใจ ที่ไม่ใช่ทัมใจยาแก้ปวด แต่ถ้าใครปวดใจก็มาอ่านกันนะคะ
ความเป็นจริงแล้วใจนั้นบริสุทธิ์ผ่องใส กิเลสเข้าจับทำให้สกปรกไปตามกิเลส ปล่อยให้กิเลสจับมากเพียงไร ใจก็สกปรกขึ้นเพียงนั้น นำกิเลสออกเสียบ้าง ใจก็จะลดความสกปรกลงบ้าง
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของใจ คือโลภ โกรธ หลง นั้นนำออกจากใจได้จริง นำออกมากน้อยเพียงใดก็ได้ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยปัญญาเป็นสำคัญ ผู้มีปัญญา มีความเห็นชอบ เห็นถูก ย่อมเห็นว่ากิเลสเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมองจริง จึงไม่ควรปล่อยไว้
ในเมื่อไม่ต้องการมีใจเศร้าหมอง แต่ต้องการมีใจผ่องใส เป็นสุข โลภก็ตาม โกรธก็ตาม หลงก็ตาม ทำให้ใจเศร้าหมองทั้งสิ้น มีมากก็เศร้าหมองมาก มีน้อยก็เศร้าหมองน้อย ไม่มีเลยก็ไม่เศร้าหมองเลย
ลองถามตนเองดูว่า ต้องการเป็นทุกข์เศร้าหมองหรือ ก็จะได้คำตอบแน่นอนว่า ไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ต้องการเป็นสุข ผ่องใส ยิ่งเป็นสุขผ่องใสเท่าไรก็ยิ่งดี เป็นสุขผ่องใสตลอดเวลาก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ
เมื่อได้คำตอบ รู้ความต้องการของตนเช่นนี้ ก็ให้ยอมเชื่อว่าการจะทำใจให้เป็นสุขผ่องใสนั้น ไม่มีใครทำให้ใครได้ เจ้าตัวต้องทำเอง วิธีทำคือเมื่อเกิดโลภ โกรธ หลงขึ้นเมื่อใด ให้พยายามมีสติรู้ให้เร็วที่สุด และใช้ปัญญายับยั้งเสียให้ทันท่วงที
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ฟังดูเหมือนง่ายเนอะ แต่การที่จะลดความเศร้าหมองของจิตใจหรือลดความทุกข์ทางใจลง สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ขณะที่กำลังของสติยังไม่เข้มแข็ง บางคนยังยึดมั่นถือมั่นกับความทุกข์ การผูกใจเจ็บ ละวางลงไม่ได้ง่ายๆ ก็คือ "การให้อภัย" ในทางพุทธศาสนาถือว่าการให้อภัยทานจะได้อานิสงส์ผลบุญเท่ากับธรรมทาน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตของตัวเอง เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อภัยทานคือปัจจัยแห่งพระนิพพาน เริ่มจากให้อภัยตัวเองก่อน แทนที่จะนึกเจ็บใจตัวเองว่า ทำไมถึงโง่ให้เขาหลอกอย่างนี้ ก็นึกให้อภัยตัวเองว่า เราเป็นคนดี มีความจริงใจถึงไม่รู้เท่าทันเขา เราไม่ได้โง่สักหน่อย
การให้อภัยเป็นการสกัดความรู้สึกลบอย่างเด็ดขาด ความรู้สึกโกรธแค้นจะหายไป แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้อภัยจากความรู้สึกไม่ใช่จากความคิด เราอาจจะคิดให้อภัย แต่ความรู้สึกลึกๆยังอาฆาตพยาบาท กรรมเก่านั้นก็ยังฝังตัวอยู่ รอการแสดงผลต่อไปในอนาคต การไม่รู้จักให้อภัยหรือไม่มีเมตตา ก็คือการจองเวรผูกเวร ที่จะต้องกลับมารับกรรมนั้นอีก ดังนั้นหากเราจะตัดกรรมเราต้องรู้จัก "การให้อภัย" เป็นการให้อโหสิกรรม ไม่ให้กรรมนั้นก่อผลข้ามภพข้ามชาติผูกต่อกันไปอีก
เมื่อจิตใจเราให้อภัยแล้วก็จะมีเกิดความรู้สึกดีๆ ให้ใส่ใจอยู่กับรสสุขของภาวะแห่งจิตไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าอยู่ในอาการแผ่เมตตาแล้ว การตกเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลบเสมอไป การที่เราถูกคนอื่นหลอกก็ไม่จำเป็นต้องโกรธกลับ จงคิดว่าเขากำลังมีปัญหาบางอย่างที่คับข้องใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ กลัวที่จะพูดความจริงแล้วสูญเสียผลประโยชน์บางอย่าง ฯลฯ แทนที่จะโกรธ ควรเห็นใจและสงสารเขา วิธีการเมื่อถูกกระทำคือ การแผ่เมตตา จะช่วยทำให้ลดความรู้สึกลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกพยาบาท เมตตาจิตจะทำให้เราละจากการจองเวร จิตใจเย็นชุ่มชื่นอันเนื่องมาจากการระงับของเวรทั้งปวง จิตจะสงบ อ่อนโยน และมีความสุข
พอทำใจได้...ก็สบายทุกอย่าง...จริงๆ
ขอขอบคุณบันทึกของคุณ Patidta Wisetbupha กัลยาณมิตรใน Social network ที่ได้คัดมาบางส่วน
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ความเชื่อใจ
"จงใส่ใจดูแล 3 เรื่องนี้เป็นพิเศษคือ ความเชื่อใจ คำสัญญา และสัมพันธภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่ส่งเสียงใดๆ เมื่อมันแตกสลาย "
ได้สำนวนนี้มาจากทวิตเตอร์ล่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถอ้างอิงว่าของใคร แบบว่า แว่บๆน่ะ แต่มาโดนก็ต่อเมื่อ มานั่งนึกๆ
เออ จริงสิ....มันไม่จำเป็นต้องเป็นของคู่รักอย่างเดียว แต่ใช้ได้กับเพื่อน ญาติ ผู้ร่วมงาน หรือใครต่อใครที่เรามอบความไว้วางใจ
เชื่อใจในความเป็นตัวตนของเขาในมุมมองของเรา
มีทฤษฎีว่าต้วยความเชื่อใจ เครดิตจาก powerbeer的บล๊อก
อันทฤษฎีที่ว่าด้วยความเชื่อใจ เขากล่าวไว้ว่า
"การที่คนเราจะเชื่อใจใครสักคน
นั่นหมายความว่าเราต้องให้ใจเขาไปแล้ว
ซึ่งหมายถึง เราได้ใช้สมองและหัวใจกลั่นกรองมาแล้วพอสมควร
ยิ่งเชื่อใจมาก ยิ่งผ่านกระบวนการดังกล่าวมาแล้วอย่างหนัก
ความเชื่อใจ มีสถานะคล้ายของแข็ง
ถ้าเราเชื่อใจซะอย่าง ก็ยากที่จะมีสิ่งใดสามารถทำลายมันลงได้
แต่ธรรมชาติของ ของแข็ง ยิ่งแข็งมันก็ยิ่งเปราะ
ยิ่งถ้ากระเทาะลงตรงจุด
ของแข็ง ไม่ว่าจะแกร่งสักแค่ไหน ก็แตกร้าวได้โดยง่าย
และที่สำคัญ ... ยากยิ่งที่จะสมานให้เป็นดังเดิม
เฉกเช่น ความเชื่อใจ ...
บางสำนวนก็เปรียบเปรยเป็นยางลบ ดังเช่น
Twitter / Tirasan Sahatsapas:ความเชื่อใจก็เหมือนยางลบ ผิดบ่อยบ่อย ยางลบก็ก้อนเล็กลง… via @Seiyaxo #mottoTH
อืมม...ก็ยังดีนะที่ยังค่อยๆเล็กลง แสดงว่า ผิดได้หลายครั้งสินะ หุหุ แต่มีผู้กล่าวไว้อีกแระว่า ความไม่เชื่อใจเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแต่บุคคลนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายหลอกลวงแม้แต่เพียงครั้งเดียว ก็จะรับรู้ว่า อาจถูกหลอกลวงได้อีกในอนาคต เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจซึ่งแปรเปลี่ยนยากเสียแล้ว
ดังนั้น.....เมื่อคบใครไม่ว่าฐานะใดก็ตาม
เราไม่ควรไปคาดหวังสิ่งใด ๆ ในตัวเขาเหล่านั้น .....
ไม่ต้องคาดหวังถึงความจริงใจ.....
ไม่ต้องคาดหวังถึงการกระทำที่ดีที่เขาจะมีให้.....
ไม่ต้องคาดหวังถึงความรัก และความผูกพัน.....
เมื่อไม่ต้องคาดหวังใด ๆ แล้ว เราก็จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
เมื่อเขาทำให้เราไม่เชื่อใจ หรือเขาจะไม่เชื่อใจเราก็ตาม.....
ชีวิตเราก็จะดำเนินต่อไปได้ โดยไม่รู้สึกอะไร....
โหย...apathy ไปหรือเปล่าเนี่ย...OMG...
วันหลังจะมาเม้าท์เรื่อง คำสัญญาและ สัมพันธภาพนะคะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ได้สำนวนนี้มาจากทวิตเตอร์ล่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถอ้างอิงว่าของใคร แบบว่า แว่บๆน่ะ แต่มาโดนก็ต่อเมื่อ มานั่งนึกๆ
เออ จริงสิ....มันไม่จำเป็นต้องเป็นของคู่รักอย่างเดียว แต่ใช้ได้กับเพื่อน ญาติ ผู้ร่วมงาน หรือใครต่อใครที่เรามอบความไว้วางใจ
เชื่อใจในความเป็นตัวตนของเขาในมุมมองของเรา
มีทฤษฎีว่าต้วยความเชื่อใจ เครดิตจาก powerbeer的บล๊อก
อันทฤษฎีที่ว่าด้วยความเชื่อใจ เขากล่าวไว้ว่า
"การที่คนเราจะเชื่อใจใครสักคน
นั่นหมายความว่าเราต้องให้ใจเขาไปแล้ว
ซึ่งหมายถึง เราได้ใช้สมองและหัวใจกลั่นกรองมาแล้วพอสมควร
ยิ่งเชื่อใจมาก ยิ่งผ่านกระบวนการดังกล่าวมาแล้วอย่างหนัก
ความเชื่อใจ มีสถานะคล้ายของแข็ง
ถ้าเราเชื่อใจซะอย่าง ก็ยากที่จะมีสิ่งใดสามารถทำลายมันลงได้
แต่ธรรมชาติของ ของแข็ง ยิ่งแข็งมันก็ยิ่งเปราะ
ยิ่งถ้ากระเทาะลงตรงจุด
ของแข็ง ไม่ว่าจะแกร่งสักแค่ไหน ก็แตกร้าวได้โดยง่าย
และที่สำคัญ ... ยากยิ่งที่จะสมานให้เป็นดังเดิม
เฉกเช่น ความเชื่อใจ ...
บางสำนวนก็เปรียบเปรยเป็นยางลบ ดังเช่น
Twitter / Tirasan Sahatsapas:ความเชื่อใจก็เหมือนยางลบ ผิดบ่อยบ่อย ยางลบก็ก้อนเล็กลง… via @Seiyaxo #mottoTH
อืมม...ก็ยังดีนะที่ยังค่อยๆเล็กลง แสดงว่า ผิดได้หลายครั้งสินะ หุหุ แต่มีผู้กล่าวไว้อีกแระว่า ความไม่เชื่อใจเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแต่บุคคลนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายหลอกลวงแม้แต่เพียงครั้งเดียว ก็จะรับรู้ว่า อาจถูกหลอกลวงได้อีกในอนาคต เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจซึ่งแปรเปลี่ยนยากเสียแล้ว
ดังนั้น.....เมื่อคบใครไม่ว่าฐานะใดก็ตาม
เราไม่ควรไปคาดหวังสิ่งใด ๆ ในตัวเขาเหล่านั้น .....
ไม่ต้องคาดหวังถึงความจริงใจ.....
ไม่ต้องคาดหวังถึงการกระทำที่ดีที่เขาจะมีให้.....
ไม่ต้องคาดหวังถึงความรัก และความผูกพัน.....
เมื่อไม่ต้องคาดหวังใด ๆ แล้ว เราก็จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
เมื่อเขาทำให้เราไม่เชื่อใจ หรือเขาจะไม่เชื่อใจเราก็ตาม.....
ชีวิตเราก็จะดำเนินต่อไปได้ โดยไม่รู้สึกอะไร....
โหย...apathy ไปหรือเปล่าเนี่ย...OMG...
วันหลังจะมาเม้าท์เรื่อง คำสัญญาและ สัมพันธภาพนะคะ
โปรดติดตามตอนต่อไป
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
แมวของลูก
ดีค่ะ ชื่อสีทอง เป็นแมวนะคะ
ตอนนี้สีทองอยู่ชั้นสองบ้านหอยทากค่ะ
ไม่ได้แท็กมาขายอะไรนะคะ เป็นแมวค่ะ จะขายห่าไรล่ะคะ
แค่จะมาระบายเฉย ๆ ว่า วัน ๆ อยู่บ้านหลังนี้ ไม่ได้ทำอะไร
วัน ๆ ต้องถูกไอ้น้ามชากระทำการโหดร้าย กลั่นแกล้งอยู่เสมอ
ประหนึ่งแค้นที่สีทองไปเหยียบตรีนมันเลยล่ะค่ะ
เช่นว่า จับสีทองมาทำเป็นปืนกลแมว
ยิ่งมันดึงขาแล้วสีทองร้องนะคะ มันยิ่งชอบใจประหนึ่งว่า
ชอบฟังเสียงผู้หญิงครางเลยทีเดียวล่ะค่ะ
เท่านั้นยังไม่พอ ยังพาเพื่อน ๆ มาบ้านเป็นประจำ
ตอนแรก ๆ เพื่อน ๆ เขาก็นิสัยดีนะคะ ไป ๆ มา ๆ เกรียนแตกค่ะ
รวมหัวกลั่นแกล้งสีทองด้วยซะงั้น
ให้ตายห่าเหอะค่ะ ก็รู้อะนะ ว่าแมวน่ารักมักน่าแกล้ง
แต่อย่ามาลงที่สีทองตัวเดียวสิคะ สีหมอก สีฟ้าก็มี ไปแกล้งมันมั่ง
ยังดีมีสีหมอกตัวเดียวที่เห็นใจ
แต่สีฟ้าสิคะ เกลียดสีทองอย่างกะนางเอก กะนางร้าย
(แน่นอนว่าสีทองเป็นนางเอกค่ะ อิอิ)
แต่ไม่เป็นไรค่ะ สีทองเชื่อว่า ถ้าสีทองทำตัวดี ๆ สักวันหนึ่ง
พวกเกรียน ๆ ก็คงสำเหนียกตนได้ และเลิกแกล้งสีทองสักที^^
18 กันยายน 2010 · เลิกชอบ ·
ถูกแท็กมาจาก facebook ชอบมากเลยขอก๊อปไว้ก่อน
คิดถึงสีทอง ตอนนี้ไปวิ่งเล่นบนสวรรค์แล้ว
ไม่ต้องโดนแกล้งนะลูก
--------------------------------------------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เมื่อธรรมะไม่กลับมา
ทุกวันนี้สถานการณ์บ้านเมืองบอกไม่ได้ว่าจะเป็นไปยังไง แต่อย่างไรก็แล้วแต่ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้พวกเราละโลภ โกรธ หลง ฉลาดที่จะทำใจทำตนให้มีศีล สมาธิ ปัญญา จะเข้าพรรษาแล้วขอพวกเรามาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ศีลธรรมกลับมาเถิด ทำจิตใจให้สงบไม่ร้อนรน รับกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นอย่างมีสติ หากบ้านเมืองเกิดกลียุคมาจริงๆ....
คำร้อง ทำนอง/ดินป่า จีวัน
ดนตรี/นุภาพ สวันตรัจฉ์
ขับร้อง/ดินป่า และณพา จีวัน ,แนบ โสตถิพันธุ์ ,สุรชัย จันทิมาธร
เพลง กลียุค
Artist: G-one
Tags: Dhammar
อัลบั้ม "เพลงพุทธทาสเปิดดวงตา"
Lyrics:
เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
คนดีโดนรังแก คนชั่วโดนยกย่อง
สีขาวกลายเป็นสีดำ สีดำกลายเป็นสีขาว
เรื่องราวโดนบิดเบือน สัจจะกลายเป็นโจร
คนจะกินคน คนจะฆ่ากัน
ความมืดจะคลุมวัน ความมืดจะครองเมือง
เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง
โลกาไร้การแบ่งปัน สังคมไร้ซึ่งน้ำใจ
มองไปทิศทางใด เศร้าใจทุกข์ระทม
แผ่นดินเดือดร้อนเป็นไฟ ภูเขาร่ำไห้หมองหม่น
ป่าไม้หม่นไหม้โศรกตรม แม่น้ำขื่นขมแห้งขอด
ปีศาจหน้าจอเป็นใหญ่ เก้าอี้สีขาว ก็ซีดหม่น
ใบหน้าผู้คน ก็ซีดเซียว มนุษย์มีเขี้ยว ไล่กัดมนุษย์มีธรรม
เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง
OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO
คำร้อง ทำนอง/ดินป่า จีวัน
ดนตรี/นุภาพ สวันตรัจฉ์
ขับร้อง/ดินป่า และณพา จีวัน ,แนบ โสตถิพันธุ์ ,สุรชัย จันทิมาธร
เพลง กลียุค
Artist: G-one
Tags: Dhammar
อัลบั้ม "เพลงพุทธทาสเปิดดวงตา"
Lyrics:
เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
คนดีโดนรังแก คนชั่วโดนยกย่อง
สีขาวกลายเป็นสีดำ สีดำกลายเป็นสีขาว
เรื่องราวโดนบิดเบือน สัจจะกลายเป็นโจร
คนจะกินคน คนจะฆ่ากัน
ความมืดจะคลุมวัน ความมืดจะครองเมือง
เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง
โลกาไร้การแบ่งปัน สังคมไร้ซึ่งน้ำใจ
มองไปทิศทางใด เศร้าใจทุกข์ระทม
แผ่นดินเดือดร้อนเป็นไฟ ภูเขาร่ำไห้หมองหม่น
ป่าไม้หม่นไหม้โศรกตรม แม่น้ำขื่นขมแห้งขอด
ปีศาจหน้าจอเป็นใหญ่ เก้าอี้สีขาว ก็ซีดหม่น
ใบหน้าผู้คน ก็ซีดเซียว มนุษย์มีเขี้ยว ไล่กัดมนุษย์มีธรรม
เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง
OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO
วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เปิดใจ
เช้านี้ อากาศมืดครื้ม คิดว่าฝนจะตกเสียอีก เมื่อวานกระหน่ำตกจนสาดเข้าบ้าน
ถุงเงินไปนอนเล่นนอกบ้านกลับมาตัวเปียกร้องให้แม่เช็ดตัวให้ซะลั่นบ้าน
มาวันนี้ สายๆแดดออกแจ๋ซะงั้น ไม่มีอะไรแน่นอนเลย พยากรณ์อากาศบอกจะมีฝนอีกละ
ฟังเพลงเปิดใจ เพลงธรรมะของจินเจดีกว่านะ ชอบมาก
โดยเฉพาะท่อนที่ว่า "สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง" จริงแท้แน่นอนที่สุดเลย....
อาจมีวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ ให้เราเจอสายฝนกระหน่ำ
ไม่มีดวงตะวันคอยส่องให้เดินตาม แล้วฝนยังทำให้เราเปียกปอน
และบางคืนที่ฟ้าไม่มีดาว ปล่อยให้เราเงียบเหงาเดียวดาย
แต่สิ่งที่มองเห็น มันกลับไม่เป็นไป ไม่เหมือนที่เคยต้องการให้อยากจะเจอ
ยิ่งเราร้อนรน ก็ยิ่งร้อนใจกับอะไรที่ผ่านเข้ามา
เปิดใจออกไปหา โลกกว้างใหญ่ อย่าให้ใจต้องจมกับมุมที่หม่นหมอง
เปิดใจและเรียนรู้ที่จะมอง สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง
เมื่อเวลาที่ฝนนั้นโปรยปราย ก็จะมีต้นไม้เติบใหญ่
ให้เราได้เอนนอน คลายเหนื่อยใต้ร่มใบ ต้นไม้ก็มีที่มาจากฝน
อาจจะมีฝันร้ายในบางครา อาจจะมีเหงาๆบางที
แต่ในความโชคร้าย ด้านหนึ่งก็คือดี ก็แล้วแต่ใครจะมองไปที่มุมไหน
ยิ่งเราร้อนรนก็ยิ่งร้อนใจกับอะไรที่ผ่านเข้ามา
เปิดใจออกไปหา โลกกว้างใหญ่ อย่าให้ใจต้องจมกับมุมที่หม่นหมอง
เปิดใจและเรียนรู้ที่จะมอง สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง……….
ooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo
ถุงเงินไปนอนเล่นนอกบ้านกลับมาตัวเปียกร้องให้แม่เช็ดตัวให้ซะลั่นบ้าน
มาวันนี้ สายๆแดดออกแจ๋ซะงั้น ไม่มีอะไรแน่นอนเลย พยากรณ์อากาศบอกจะมีฝนอีกละ
ฟังเพลงเปิดใจ เพลงธรรมะของจินเจดีกว่านะ ชอบมาก
โดยเฉพาะท่อนที่ว่า "สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง" จริงแท้แน่นอนที่สุดเลย....
อาจมีวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ ให้เราเจอสายฝนกระหน่ำ
ไม่มีดวงตะวันคอยส่องให้เดินตาม แล้วฝนยังทำให้เราเปียกปอน
และบางคืนที่ฟ้าไม่มีดาว ปล่อยให้เราเงียบเหงาเดียวดาย
แต่สิ่งที่มองเห็น มันกลับไม่เป็นไป ไม่เหมือนที่เคยต้องการให้อยากจะเจอ
ยิ่งเราร้อนรน ก็ยิ่งร้อนใจกับอะไรที่ผ่านเข้ามา
เปิดใจออกไปหา โลกกว้างใหญ่ อย่าให้ใจต้องจมกับมุมที่หม่นหมอง
เปิดใจและเรียนรู้ที่จะมอง สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง
เมื่อเวลาที่ฝนนั้นโปรยปราย ก็จะมีต้นไม้เติบใหญ่
ให้เราได้เอนนอน คลายเหนื่อยใต้ร่มใบ ต้นไม้ก็มีที่มาจากฝน
อาจจะมีฝันร้ายในบางครา อาจจะมีเหงาๆบางที
แต่ในความโชคร้าย ด้านหนึ่งก็คือดี ก็แล้วแต่ใครจะมองไปที่มุมไหน
ยิ่งเราร้อนรนก็ยิ่งร้อนใจกับอะไรที่ผ่านเข้ามา
เปิดใจออกไปหา โลกกว้างใหญ่ อย่าให้ใจต้องจมกับมุมที่หม่นหมอง
เปิดใจและเรียนรู้ที่จะมอง สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง……….
ooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo
วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด
นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด !
Posted by นายกรัฐมนตรี_โจโฉ
"เกือบๆเดือนๆที่ผมไม่ได้เขียนเรื่องราวอะไรในโอเคเนชั่นเพราะติดภาระกิจที่ต้องทำในมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังคงติดตามข่าวสารการเลือกตั้งอยู่ไม่ขาดทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออย่างโอเคเนชั่นอันอบอุ่นแห่งนี้
ผมเห็นหลากหลายนโยบายของหลายพรรคการเมืองแล้วรู้สึกว่าประเทศไทยเราคงจะต้องเตรียมพบกับ "หายนะ" ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ในเร็ววัน ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างรายรับกับรายจ่ายของรัฐบาลที่ต้องมาสนองนโยบายขายฝันเพื่อให้เป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐนั้นคือตัวเร่งปฏิกิริยามวลชนที่รอวันจะออกมาเดินตามท้องถนนเพื่อล้มรัฐบาลตามทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย และเป็นตัวที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติต้องไปผูกพันธ์กับ "หนี้" ที่เกิดจากการกู้ยืมจากต่างชาติเพื่อมาสนองนโยบายรัฐและทำโครงการประชานิยมให้สำเร็จตามที่ได้หาเสียงไว้
ตลอดเวลาปีกว่านี้ผมเพิ่งจะมาศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย รวมทั้งพระราชประวัติและการทรงงานของพระะเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันและถ้ามองดูในภาพรวมแล้วสามารถสรุปออกมาได้เป็นประโยคเดียวคือ...
"นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด"
"นักการเมืองยื่นปลา" คือลักษณะการทำงานของนักการเมืองที่มักจะหยิบยื่นและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยม "อันเป็นลักษณะธรรมชาติทั่วไปของนักการเมืองทุกชาติทุกภาษา" แต่การยื่นปลานั้นไม่ใช่การสร้างถนน สร้างไฟฟ้า สร้างปะปา หรือสาธารณูปโภค การยื่นปลาที่ว่าหมายถึง "นโยบายประชานิยม" ไม่ว่าจะแจกของ แจกเงิน ขึ้นเงินเดือนค่าแรง สร้างรถไฟฟ้าตามใจนักการเมืองโดยไม่คำนึงถึงปริมาณความจำเป็นที่แท้จริงของประชาชน เป็นต้น
นโยบายประชานิยมเป็นที่น่ารังเกียจของนักวิชาการมาทุกยุคทุกสมัยกลับกลายเป็น "นโยบายหลัก" ในการหาเสียงกับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ การยื่นแต่ปลาให้กับประชาชนคือการสร้างความรวดเร็วในการพัฒนาประเทศและตักตวงซึ่งคะแนนนิยม การหยิบปลาจากแม่น้ำใส่มือประชาชนที่มาขึ้นทุกๆวันนี้ก็คงจะทำให้ "ปลา" หมดไปจากแม่น้ำในเร็ววัน เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูแล้วรัฐบาลหลายรัฐบาลไม่ได้ใส่ใจที่จะเพาะพันธุ์ปลา แต่คิดจะตักปลาในแม่น้ำใส่มือประชาชนอย่างเดียว ซึ่งแตกต่างกับวิถีการทรงงานของพระราชาที่ทรงเพียรทำมาโดยตลอดหกสิบกว่าปี อันเป็นที่มาของคำว่า "พระราชายื่นเบ็ด"
"พระราชายื่นเบ็ด" คือลักษณะการทรงงานของในหลวงคือ "ยื่นเบ็ดตกปลา" ให้ประชาชนแล้วสอนว่าต้องตกปลาอย่างไร ลักษณะการทรงงานแบบนี้ต้องใช้เวลา เห็นผลช้า และประชาชนไม่นิยม อีกทั้งไม่เป็นที่ใส่ใจและน้อมนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ลักษณะงานแบบพระราชายื่นเบ็ดนี้ยังเป็นการ "ถนอม" ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบุคคล รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินได้อย่างมหาศาล สังเกตได้จากลักษณะโดยทั่วไปของโครงการตามพระราชดำริของในหลวงซึ่งจะเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณที่จำกัด แต่กลับได้ผลเกินคาด ซึ่งเราจะหาโครงการแบบนี้ตามโครงการของรัฐบาลไม่ได้สักโครงการเดียว
"พระราชายื่นเบ็ด" นี้ต้องอาศัยความต่อเนื่องของการติดตามโครงการกินเวลานาน โครงการตามพระราชดำริ(ด้านการเกษตร-ปศุสัตว์)บางโครงการต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงตามพระราชดำรัสที่ทรงให้ไว้ตั้งแต่เริ่มโครงการ ประชาชนหลายๆแห่งแม้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์รับทุกอย่าง แต่เมื่อลงมือปฏิบัติจริงกลับเกิดคำถามในใจ "จะสำเร็จจริงหรือ" ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจในความคิดนี้ของประชาชน ทรงเน้นย้ำให้ข้าราชการและหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องติดตามผลและรายงานผลให้พระองค์รับทราบตลอดเวลา จนกระทั่งผ่านไปหลายปีเมื่อโครงการตามพระราชดำริสำเร็จ ประชาชนที่เคยคิดว่า "จะสำเร็จจริงหรือ" ก็กลับกลายเป็น "น้ำตาของความดีใจ" ทันทีที่หวนนึกถึงและรู้สึกดีที่อดทนพิสูจน์พระราชกระแสรับสั่งที่เคยให้ไว้เมื่อหลายปีก่อน
แต่การทำงานของ "รัฐบาล" นั้นมีเวลาจำกัด และต้องอยู่ในสถานะที่ได้รับความนิยมจากประชาชนโดยตลอด ทำให้ลักษณะการทำงานออกมาในแนวทางของการ "ยื่นปลา" ซึ่งรวดเร็ว และประชาชนก็ชื่นชอบ ไม่ต้องรอเป็นสิบๆปี แต่กระนั้น "ความไม่ยั่งยืน" ก็จะถามหาภาคประชาชน ความไม่ยั่งยืนที่ว่าพร้อมทำลาย "รากฐาน" ของประเทศไทย นั่นคือ "เกษตรกรรม" ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเท่าที่ผมสังเกตมาในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีรัฐบาลไหนที่ให้ความสำคัญกับ "น้ำมันบนดิน" หรือภาคการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของประเทศไทยมาตั้งแต่ยังเป็นกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญของ "เกษตรกรรม" ไทยมากเป็นพิเศษ เพราะทรงเข้าใจพื้นหลังและสภาพความเป็นจริงของชนชาติไทย และภูมิประเทศที่เอื้อกับการเกษตรมากกว่าอุตสาหกรรม โครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่จึงเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำ กักเก็บแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และเป็นโครงการส่งเสริมด้านการเกษตร ซึ่งน่าเสียดายที่รัฐบาลไทยหลายสมัยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าที่ควร ประชาชนส่วนใหญ่ที่เคยทำงานด้านการเกษตรก็ทิ้งเรือสวนไร่นาไปอยู่โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการเกษตรก็ตกไปอยู่ในอุ้งมือนายทุนใหญ่ไม่กี่ราย ซึ่งเขาสามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาด ควบคุมการกินของคนไทยได้สำเร็จ
หลายคนอาจมองว่าดี แต่สำหรับผมแล้วการผูกขาดการค้าโดยนายทุนไม่เคยมีคำว่าดีสักนิด พระเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริม "สหกรณ์ชุมชน" เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากและสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนโดยไม่ต้องพึ่งพานายทุน แต่ปัจจุบันสหกรณ์ชุมนุมกลายเป็นเพียงทฤษฎีในตำรา ที่ประสบความสำเร็จก็จะต้องใช้เวลาหลายปี อีกทั้งการไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องความรู้ความเข้าใจ จึงทำให้ "นายทุนการเกษตร" เข้ามาครอบครองส่วนแบ่งการตลาดจากสหกรณ์ของประชาชนไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
โดยที่นายทุนนั้นก็อิงแอบกับภาคการเมืองเพื่อให้ "เดินสะดวก" ในการทำธุรกิจ มันจึงกลายเป็นวัฏจักรที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่หายนะในไม่ช้า
และทันทีที่บ้านเมืองเกิดหายนะทางเศรษฐกิจรวมทั้งความเชื่อมั่นของคนในชาติที่ลดลงกับการเมืองก็จะหันไปมอง "เบ็ดตกปลา" ของพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวและสำนึกตัวว่า "สายไปเสียแล้ว" ที่เราจะไปหยิบเบ็ดตกปลานั้นมาใช้ !!!"
อ่านแล้วรู้ศึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทำไมไม่มีใครคิดถึงมุมมองนี้บ้าง หรือถนัดแต่ "ให้ปลา"เป็นนิสัย แล้วแลกเปลี่ยนกับทองเข้ากระเป๋าตนเอง....
Posted by นายกรัฐมนตรี_โจโฉ
"เกือบๆเดือนๆที่ผมไม่ได้เขียนเรื่องราวอะไรในโอเคเนชั่นเพราะติดภาระกิจที่ต้องทำในมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังคงติดตามข่าวสารการเลือกตั้งอยู่ไม่ขาดทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออย่างโอเคเนชั่นอันอบอุ่นแห่งนี้
ผมเห็นหลากหลายนโยบายของหลายพรรคการเมืองแล้วรู้สึกว่าประเทศไทยเราคงจะต้องเตรียมพบกับ "หายนะ" ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ในเร็ววัน ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างรายรับกับรายจ่ายของรัฐบาลที่ต้องมาสนองนโยบายขายฝันเพื่อให้เป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐนั้นคือตัวเร่งปฏิกิริยามวลชนที่รอวันจะออกมาเดินตามท้องถนนเพื่อล้มรัฐบาลตามทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย และเป็นตัวที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติต้องไปผูกพันธ์กับ "หนี้" ที่เกิดจากการกู้ยืมจากต่างชาติเพื่อมาสนองนโยบายรัฐและทำโครงการประชานิยมให้สำเร็จตามที่ได้หาเสียงไว้
ตลอดเวลาปีกว่านี้ผมเพิ่งจะมาศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย รวมทั้งพระราชประวัติและการทรงงานของพระะเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันและถ้ามองดูในภาพรวมแล้วสามารถสรุปออกมาได้เป็นประโยคเดียวคือ...
"นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด"
"นักการเมืองยื่นปลา" คือลักษณะการทำงานของนักการเมืองที่มักจะหยิบยื่นและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยม "อันเป็นลักษณะธรรมชาติทั่วไปของนักการเมืองทุกชาติทุกภาษา" แต่การยื่นปลานั้นไม่ใช่การสร้างถนน สร้างไฟฟ้า สร้างปะปา หรือสาธารณูปโภค การยื่นปลาที่ว่าหมายถึง "นโยบายประชานิยม" ไม่ว่าจะแจกของ แจกเงิน ขึ้นเงินเดือนค่าแรง สร้างรถไฟฟ้าตามใจนักการเมืองโดยไม่คำนึงถึงปริมาณความจำเป็นที่แท้จริงของประชาชน เป็นต้น
นโยบายประชานิยมเป็นที่น่ารังเกียจของนักวิชาการมาทุกยุคทุกสมัยกลับกลายเป็น "นโยบายหลัก" ในการหาเสียงกับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ การยื่นแต่ปลาให้กับประชาชนคือการสร้างความรวดเร็วในการพัฒนาประเทศและตักตวงซึ่งคะแนนนิยม การหยิบปลาจากแม่น้ำใส่มือประชาชนที่มาขึ้นทุกๆวันนี้ก็คงจะทำให้ "ปลา" หมดไปจากแม่น้ำในเร็ววัน เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูแล้วรัฐบาลหลายรัฐบาลไม่ได้ใส่ใจที่จะเพาะพันธุ์ปลา แต่คิดจะตักปลาในแม่น้ำใส่มือประชาชนอย่างเดียว ซึ่งแตกต่างกับวิถีการทรงงานของพระราชาที่ทรงเพียรทำมาโดยตลอดหกสิบกว่าปี อันเป็นที่มาของคำว่า "พระราชายื่นเบ็ด"
"พระราชายื่นเบ็ด" คือลักษณะการทรงงานของในหลวงคือ "ยื่นเบ็ดตกปลา" ให้ประชาชนแล้วสอนว่าต้องตกปลาอย่างไร ลักษณะการทรงงานแบบนี้ต้องใช้เวลา เห็นผลช้า และประชาชนไม่นิยม อีกทั้งไม่เป็นที่ใส่ใจและน้อมนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ลักษณะงานแบบพระราชายื่นเบ็ดนี้ยังเป็นการ "ถนอม" ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบุคคล รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินได้อย่างมหาศาล สังเกตได้จากลักษณะโดยทั่วไปของโครงการตามพระราชดำริของในหลวงซึ่งจะเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณที่จำกัด แต่กลับได้ผลเกินคาด ซึ่งเราจะหาโครงการแบบนี้ตามโครงการของรัฐบาลไม่ได้สักโครงการเดียว
"พระราชายื่นเบ็ด" นี้ต้องอาศัยความต่อเนื่องของการติดตามโครงการกินเวลานาน โครงการตามพระราชดำริ(ด้านการเกษตร-ปศุสัตว์)บางโครงการต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงตามพระราชดำรัสที่ทรงให้ไว้ตั้งแต่เริ่มโครงการ ประชาชนหลายๆแห่งแม้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์รับทุกอย่าง แต่เมื่อลงมือปฏิบัติจริงกลับเกิดคำถามในใจ "จะสำเร็จจริงหรือ" ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจในความคิดนี้ของประชาชน ทรงเน้นย้ำให้ข้าราชการและหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องติดตามผลและรายงานผลให้พระองค์รับทราบตลอดเวลา จนกระทั่งผ่านไปหลายปีเมื่อโครงการตามพระราชดำริสำเร็จ ประชาชนที่เคยคิดว่า "จะสำเร็จจริงหรือ" ก็กลับกลายเป็น "น้ำตาของความดีใจ" ทันทีที่หวนนึกถึงและรู้สึกดีที่อดทนพิสูจน์พระราชกระแสรับสั่งที่เคยให้ไว้เมื่อหลายปีก่อน
แต่การทำงานของ "รัฐบาล" นั้นมีเวลาจำกัด และต้องอยู่ในสถานะที่ได้รับความนิยมจากประชาชนโดยตลอด ทำให้ลักษณะการทำงานออกมาในแนวทางของการ "ยื่นปลา" ซึ่งรวดเร็ว และประชาชนก็ชื่นชอบ ไม่ต้องรอเป็นสิบๆปี แต่กระนั้น "ความไม่ยั่งยืน" ก็จะถามหาภาคประชาชน ความไม่ยั่งยืนที่ว่าพร้อมทำลาย "รากฐาน" ของประเทศไทย นั่นคือ "เกษตรกรรม" ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเท่าที่ผมสังเกตมาในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีรัฐบาลไหนที่ให้ความสำคัญกับ "น้ำมันบนดิน" หรือภาคการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของประเทศไทยมาตั้งแต่ยังเป็นกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญของ "เกษตรกรรม" ไทยมากเป็นพิเศษ เพราะทรงเข้าใจพื้นหลังและสภาพความเป็นจริงของชนชาติไทย และภูมิประเทศที่เอื้อกับการเกษตรมากกว่าอุตสาหกรรม โครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่จึงเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำ กักเก็บแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และเป็นโครงการส่งเสริมด้านการเกษตร ซึ่งน่าเสียดายที่รัฐบาลไทยหลายสมัยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าที่ควร ประชาชนส่วนใหญ่ที่เคยทำงานด้านการเกษตรก็ทิ้งเรือสวนไร่นาไปอยู่โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการเกษตรก็ตกไปอยู่ในอุ้งมือนายทุนใหญ่ไม่กี่ราย ซึ่งเขาสามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาด ควบคุมการกินของคนไทยได้สำเร็จ
หลายคนอาจมองว่าดี แต่สำหรับผมแล้วการผูกขาดการค้าโดยนายทุนไม่เคยมีคำว่าดีสักนิด พระเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริม "สหกรณ์ชุมชน" เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากและสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนโดยไม่ต้องพึ่งพานายทุน แต่ปัจจุบันสหกรณ์ชุมนุมกลายเป็นเพียงทฤษฎีในตำรา ที่ประสบความสำเร็จก็จะต้องใช้เวลาหลายปี อีกทั้งการไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องความรู้ความเข้าใจ จึงทำให้ "นายทุนการเกษตร" เข้ามาครอบครองส่วนแบ่งการตลาดจากสหกรณ์ของประชาชนไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
โดยที่นายทุนนั้นก็อิงแอบกับภาคการเมืองเพื่อให้ "เดินสะดวก" ในการทำธุรกิจ มันจึงกลายเป็นวัฏจักรที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่หายนะในไม่ช้า
และทันทีที่บ้านเมืองเกิดหายนะทางเศรษฐกิจรวมทั้งความเชื่อมั่นของคนในชาติที่ลดลงกับการเมืองก็จะหันไปมอง "เบ็ดตกปลา" ของพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวและสำนึกตัวว่า "สายไปเสียแล้ว" ที่เราจะไปหยิบเบ็ดตกปลานั้นมาใช้ !!!"
อ่านแล้วรู้ศึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทำไมไม่มีใครคิดถึงมุมมองนี้บ้าง หรือถนัดแต่ "ให้ปลา"เป็นนิสัย แล้วแลกเปลี่ยนกับทองเข้ากระเป๋าตนเอง....
สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เห็น - นั่งเล่น
บ่อยครั้งสิ่งที่เราเห็น
กับความจริงที่เป็นก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
เผื่อใจไว้บ้าง ถึงคราวที่ต้องเสียใจ
จะได้ไม่เสียมันไปทั้งหมด
เนื้อเพลง สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เห็น - นั่งเล่น
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
Carry On Til Tomorrow.....
iRandomQuotes_
Our eyes are placed in front because it is more important to look ahead than to look back
ดวงตาของเราอยู่ข้างหน้า เพราะการมองไปข้างหน้าสำคัญกว่าการมองย้อนไปข้างหลัง
Carry on till tomorow, there's no reason to look back
ทุกๆสิ่งต้องดำเนินต่อไปในจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะมองย้อนอดีต
อย่าเสียเวลากับอดีตที่ผ่านมา เราควรเดินไปข้างหน้า ก้าวต่อไป เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ไม่มีประโยชน์ที่จะจมอยู่กับอารมณ์เก่าๆ
ลุกขึ้นให้กำลังใจตนเอง และมีอุเบกขาคือเห็นโทษของการถือสาและประโยชน์ของการวางเฉย อย่าลงโทษตัวเอง อย่าอาลัยสิ่งที่ล่วงมาแล้ว
มองอนาคตอย่างมีความหวัง อยู่กับปัจจุบันอย่างเข้มแข็ง ไม่มีใครใจแกร่งตั้งแต่เกิด ความแกร่งเกิดจากขันติและอุเบกขา จงมีความอดกลั้นอดทนเถิดกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ หรือสิ่งที่เคยเป็นที่รักที่พอใจแต่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง
การ "ยอมรับ" ความจริงที่ไม่ตรงกับความ "คาดหวัง" ของเรานั้น เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง - พระไพศาล วิสาโล
เครดิตภาพวาดโดย : ก๋าศักดิ์ อภิรักษ์สมัครสมานไชยะไชโยโห่ฮิ้ว จากhttp://www.junjaowka.com
Our eyes are placed in front because it is more important to look ahead than to look back
ดวงตาของเราอยู่ข้างหน้า เพราะการมองไปข้างหน้าสำคัญกว่าการมองย้อนไปข้างหลัง
Carry on till tomorow, there's no reason to look back
ทุกๆสิ่งต้องดำเนินต่อไปในจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะมองย้อนอดีต
อย่าเสียเวลากับอดีตที่ผ่านมา เราควรเดินไปข้างหน้า ก้าวต่อไป เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ไม่มีประโยชน์ที่จะจมอยู่กับอารมณ์เก่าๆ
ลุกขึ้นให้กำลังใจตนเอง และมีอุเบกขาคือเห็นโทษของการถือสาและประโยชน์ของการวางเฉย อย่าลงโทษตัวเอง อย่าอาลัยสิ่งที่ล่วงมาแล้ว
มองอนาคตอย่างมีความหวัง อยู่กับปัจจุบันอย่างเข้มแข็ง ไม่มีใครใจแกร่งตั้งแต่เกิด ความแกร่งเกิดจากขันติและอุเบกขา จงมีความอดกลั้นอดทนเถิดกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ หรือสิ่งที่เคยเป็นที่รักที่พอใจแต่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง
การ "ยอมรับ" ความจริงที่ไม่ตรงกับความ "คาดหวัง" ของเรานั้น เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง - พระไพศาล วิสาโล
เครดิตภาพวาดโดย : ก๋าศักดิ์ อภิรักษ์สมัครสมานไชยะไชโยโห่ฮิ้ว จากhttp://www.junjaowka.com
วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
คิดถึง...blog
ขอโทษน้าที่ละเลยตัวเองไปนานหลายเดือน
กลับมาให้เวลาตัวเองซะหน่อย
เล่าให้ฟังนะว่านอกใจไปเล่น facebook มาทุกๆวัน
ได้เรียนรู้ว่า มีผัสสะกระทบอารมณ์มากทั้งดีและไม่ดี
รู้ว่าพ่ายแพ้กิเลส ความอยาก แบบไร้สติก้อหลายครั้ง
สุดท้ายก้อรู้ว่า ไม่มีอะไรดีเท่ากับการอยู่กับตัวเอง
อย่างเงียบๆ.....
ฟังเสียงภายในของตัวเอง
เฝ้าดูความคิดอารมณ์ของตัวเอง
และปรับแต่งให้อยู่ใน "ทำนองคลองธรรม"
ชอบคำนี้จัง...."ทำนองคลองธรรม"
สามเดือนเข้าพรรษาจะพยายามไม่ไปแวะเวียนหา facebook
ก้อมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง....ขอโทษนะ facebook
กลับมาให้เวลาตัวเองซะหน่อย
เล่าให้ฟังนะว่านอกใจไปเล่น facebook มาทุกๆวัน
ได้เรียนรู้ว่า มีผัสสะกระทบอารมณ์มากทั้งดีและไม่ดี
รู้ว่าพ่ายแพ้กิเลส ความอยาก แบบไร้สติก้อหลายครั้ง
สุดท้ายก้อรู้ว่า ไม่มีอะไรดีเท่ากับการอยู่กับตัวเอง
อย่างเงียบๆ.....
ฟังเสียงภายในของตัวเอง
เฝ้าดูความคิดอารมณ์ของตัวเอง
และปรับแต่งให้อยู่ใน "ทำนองคลองธรรม"
ชอบคำนี้จัง...."ทำนองคลองธรรม"
สามเดือนเข้าพรรษาจะพยายามไม่ไปแวะเวียนหา facebook
ก้อมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง....ขอโทษนะ facebook
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)