วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

.....บุญเกิดจากการไหว้พระสวดมนต์.....




 .....การไหว้พระสวดมนต์ คือ การที่เราตั้งใจปฏิบัติบูชาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวสรรเสริญ ระลึกนึกถึงคุณงามความดีผู้ที่มีบุญบารมีเต็มสมบูรณ์ ให้คำสั่ง คำสอนมาเป็นที่พึ่งของเรา เป็นพระบิดาพระศาสดาสิ่งดีงามของเรา เพราะว่าการที่จิตเราหมั่นระลึกถึงคนที่สร้างความดีมามากเต็มสมบูรณ์ นั้น บุญกุศล สติปัญญา คุณงามความดีจะบังเกิดขึ้นแก่ตัวเราเองด้วย จิตที่เคารพศรัทธา นอบน้อมเอาคำสอน คำสั่ง มาปฏิบัติตาม ด้วยกิริยามารยาทที่เรียบร้อยงดงาม ปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องโดยสม่ำเสมอความพ้นทุกข์ พ้นเวร พ้นกรรม จักมีแก่เราทุกคน
       บุุุญกุศล ผลดีของการไหว้พระ สวดมนต์ จะทำให้จิตใจของเราผ่อนคลาย ความคิดความนึกความไม่สบายจิต ความไม่สบายใจ คลายความวิตกกังวลคลายความหงุดหงิดฟุ้งซ่าน รำคาญใจที่มาคลอบงำจิตใจให้เร่าร้อน รู้สึกผ่อนคลายออกไปเรื่อยๆ คืออารมณ์จะออกทางปากทางเสียงที่เราสวดมนต์ออกมา โดยอัตโนมัติ เป็นปกติธรรมชาติ ให้ทดลองสังเกตุดูจะรู้เอง ความเครียดทั้งหลาย ขยะอารมณ์ทั้งหลาย สิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในจิตใจจะค่อยๆ ผ่อนคลายออกไปเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไปแม้แต่เวรกรรมความทุกข์ที่อยู่ในจิตใจและดวงจิตวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรก็จะหมดสิ้นไปด้วยเหมือนกัน เมื่อสิ่งไม่ดีออกจากจิตใจแล้วสิ่งดีงามความรู้สึกที่ดีที่เปี่ยมไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์สะอาด มีจิตเมตตาโดยธรรมชาติ ให้เราทุกคนตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตา ส่งกระแสจิตที่ดีๆไปให้กับบุคคลอื่นๆ จะเกิดผลดีมากมายอย่างมหาศาล ส่วนตัวเรานั้นจะบังเกิดปิติความสุข - ขนลุก ขนชัน อิ่มอกอิ่มใจรู้สึกผ่อนคลาย ตัวเบาสบาย บางทีปิติจนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องไปฝืนให้ผ่อนคลายแผ่ออกไปเรื่อยๆ มากเท่าไหร่ยิ่งดีไม่มีประมาณเหล่าดวงจิตวิญญาณทั้งหลายดวงจิตเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ดวงจิตความรู้สึกนึกคิดคำพูดคำจา คำด่า คำแช่ง เสนียดจัญไร จะกระเด็นออกไปจากร่างกายและจิตใจของเราทันที นี่คือพุทธานุภาพ บุญบาระมีของพระพุทธะเจ้าและพลังบุญบาระมี คุณงามความดี ที่เราได้สร้างสะสมมา ด้วยความอดทน จนได้พบและเจอะเจอในที่สุด (อย่าคิดว่าติดสุข ถ้ายังไม่เคยเจอเมื่อสุขแล้วจะวางได้เอง) ด้วยความปราถนาดี....สาธุ..สาธุ...


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เพราะพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจ...


ยามทดท้อย่อย่นบนงานหนัก
เงยดูพักตร์พระฉายาลักษณ์ที่ข้างฝา
พระเสโทรินไหลพระกายา
ควรหรือข้าฯจะไม่เพียรพยายาม
ด้วยสมญา “ข้าราชการ”ของราชะ
จะลดละอย่างไรได้ไม่เกรงขาม
จะมุ่งมั่นฝ่าฟันไปให้ลือนาม
บำบัดความเจ็บไข้ของปวงชน
ก็คงทำได้แค่นี้ที่ทำได้
เพื่อชดใช้พระกรุณาอันพูนผล
พระเมตตาที่เราได้ยินยล
ธ ทรงดลบันดาลใจให้ทำดี...

“หมอ...มีไข้เลือดออกบ้านเฮา 3-4 รายแล้วหนา นอนโฮงยาแม็คกับราชเวชปู้น...” อสม.มาบอกด้วยสีหน้ากังวล ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้า อสม. ในใจนึก...เอาอีกแล้วละซี งานเข้าแล้ว...ด้วยศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลสารภีเป็นหน่วยงานหนึ่ง ที่มีบทบาทเหมือนสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ต้องดูแลประชาชนในตำบลที่รับผิดชอบอยู่ ทั้งงานรักษาพยาบาลเบื้องต้น งานส่งเสริมสุขภาพ งานควบคุมป้องกันโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพ ฉันเป็นหัวหน้าศูนย์ฯ เป็นพยาบาล แต่ก็ต้องรับผิดชอบงานควบคุมป้องกันโรคด้วย ขณะเดียวกันต้องทำหน้าที่ทั้งงานบริหาร วิชาการเพราะไม่มีนักวิชาการสาธารณสุขเหมือน รพ.สต.อื่นเขา และต้องมีงานบริการด้วยเพราะไปเรียนพยาบาลเวชปฏิบัติมา วันนี้กำลังเวียนหัวกับงานรายงาน ข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน แถมงานคุณภาพของโรงพยาบาลก็ต้องทำด้วยเพราะเป็นหน่วยงานหนึ่งในโรงพยาบาล

 “พี่ทมไปบอกพ่อหลวงนะ ขอนัดประชุมชาวบ้านให้หน่อย เกิดคนไข้ติดๆกันไม่ถึงอาทิตย์อย่างนี้ ถ้าไม่คุมให้ดีๆมีหวังระบาดระเบิดเถิดเทิงแน่...” ฉันเริ่มบงการ อสม. “ส่วนพวกเราอสม.หมู่บ้านเราทั้งหมดลงปฏิบัติภาคพื้นดิน ดูแลเรื่องคว่ำกะโหลกกะลาหน่อย เดี๋ยวข้าเจ้าจะออกสอบสวนโรค ไปพบกันในหมู่บ้านนะเจ๊า” หลังออกสอบสวนโรคและควบคุมดูแลภาชนะที่เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตอนกลางวันเรียบร้อยแล้ว พ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นห่วงลูกบ้านเลยขอประชุมค่ำวันนั้นเลย ฉันโทรฯไปบอกที่บ้านว่าจะกลับค่ำหน่อย ประชุมชาวบ้าน เลยอยู่ทั้งอย่างนั้นน้ำก็ไม่ได้อาบ คงเหม็นเหงื่อพิลึก หน้ามันเชียว

     ฉันไปถึงศาลากลางบ้านที่นัดประชุม เห็นจำนวนชาวบ้านที่มาแล้วใจหาย มาน้อยเกินคาด ทั้งๆที่เราเป็นเดือดเป็นร้อน แต่ชาวบ้านไม่ตระหนักเลยหรือว่า อันตรายใกล้ตัว รู้สึกท้อ เหนื่อยแล้วก็หิว คิดน้อยใจว่า เวลานี้ควรเป็นเวลาที่อยู่กับครอบครัว ได้อาบน้ำ กินข้าวแล้วก็พักผ่อน น้ำตารื้นขึ้นที่หัวตา ลำคอตีบตันจนไม่อาจพูดออกมา เกรงชาวบ้านจะรู้ว่า “หมอ” จะร้องไห้ แต่พอดีสายตาเหลือบไปเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงที่ข้างฝา เห็นสายพระเนตรที่มองมา ใจชื้นขึ้น ก็เราเป็น “ข้าราชการ” นี่นะ เราก็ต้องทำงานสนองเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ให้เต็มที่ให้สมกับที่เราได้ปฏิญาณตนตอนเข้ารับราชการ พอคิดได้เลยฮึดสู้ ประชุมต่อจนแล้วเสร็จ ๓ ทุ่ม ได้ข้อตกลงและแนวทางการควบคุมโรคที่ชาวบ้านคิดเองแล้วจะทำเอง สุดท้ายชาวบ้านที่มาประชุมก็ขอบอกขอบใจที่เป็นห่วง บอกว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว เพราะหลังจากนั้น ไข้เลือดออกของหมู่ ๔ ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลยปีนี้ ก็คงต้องดูปีหน้าอีกทีนะ....

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พักนี้เป็นไรน้าาาาา....ทำอะไรก็ผิดไปซะหมด...

RT: @Dungtrin: ช่วงเวลานี้ ถ้าคุณรู้สึกผิดปกติ เหมือนพร้อมจะตัดสินใจผิด
คิดพลาด จุดมุ่งหมายในชีวิตพร่าเลือนไป หรือเหมือนแปลกไปกว่าเคยประการใดๆ
จะเพราะสาเหตุรบกวนจากภายนอกไหนๆ ก็ตามแต่
ให้หวนกลับไปหาสิ่งที่แน่ใจว่าถูกต้อง และนำไปสู่จุดหมายอันประเสริฐ เช่น

๑) ทำจิตใจให้อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
วิธีง่ายที่สุดคือสวดมนต์อิติปิโสซ้ำไปซ้ำมา
จนกว่าจิตจะรู้สึกถึงความอบอุ่น สว่างไสว ในแบบของพุทธ
คุณจะรู้สึกถึงที่พึ่งทางใจว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าพระรัตนตรัย
ตลอดจนจิตใจที่ถึงซึ่งความเป็นพุทธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่สำคัญผิด
ไม่คิดพลาดก่อบาปก่อกรรมอีกต่อไป

๒) เมื่อไม่มีแก่ใจทำดี ให้ทำดีกว่าที่เคยคิดได้ พูดได้ และทำได้
จะเกิดความเข้มแข็ง และรู้สึกแตกต่างในทางดี

๓) เมื่ออยากงอมืองอเท้า ทอดธุระ เหมือนหมดอาลัยตายอยาก
ให้เลือกเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคย จนกว่าความรู้สึกเฉื่อยชาที่ภายใน
จะถูกแทนที่ด้วยพลังชีวิตอันเกิดจากความกระตือรือร้น

นี่เป็นหลักที่คุณดังตฤณแนะนำมาค่ะ

ช่วงที่ผ่านมารู้สึกเหมือนโลกผิดปกติ ตัวเองผิดปกติ
คล้ายมีคลื่นรบกวนจิตใจให้ไม่ค่อยเป็นสุขเหมือนแต่ก่อน
นั่งสมาธิก็ไม่สงบมากกว่าสงบ
เพียงแต่อาศัยว่า มีสัจจะจะนั่งทำใจให้สงบถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
เลยพอมีกำลังให้เอาตัวรอด อดกลั้นต่อนิวรณ์ต่างๆ
แต่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจนี่หนักหนาสาหัสทีเดียวเชียว
ต้องมีขันติเอามากๆ บางครั้งมารก็ชนะ แต่ก็ถือว่าได้รบกันอยู่ไม่ได้ยอมแพ้จนหมดรูปหรอกนะ

ช่วงวันพ่อนี้จะไปปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และอุทิศบุญกุศลให้แก่พ่อผู้เป็นอรหันต์และครูของลูกตั้งแต่ลูกเกิดจวบจนวันพ่อตาย
ที่ไหนดีน้า...

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Life Practice Guidelines 1





ทำ...ในสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข
อยู่...กับคนที่ทำให้เธอยิ้มได้
หัวเราะ...ให้มากเท่ากับลมหายใจของเธอ
รัก...ให้ยาวนานตราบสิ้นชีวิต


credit: http://www.facebook.com/TheSocialButterflyCommunity ♥

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำสอนของครูบาอาจารย์ (๔)


พระอาจารย์สุโข กตปุญโญ

การบวชอยู่ที่บ้านทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าทำได้จริงก็จะมีผลดีมาก แต่ต้องอาศัยหลักธรรมที่เป็นเนื้อแท้ที่ชัดเจน เช่น อริยมรรคมีองค์ ๘ และอินทรีย์ทั้ง ๕ จะทำสมาธิหรือเจริญภาวนาอย่างไร ก็ต้องทำให้มีอินทรีย์ครบทั้ง ๕ ดังนี้

๑. มีสัทธา : เชื่อในธรรมเป็นเครื่องดับทุกข์ เช่น เชื่อสุดๆ ในศีล สมาธิ ปัญญา (อริยะอัฏฐังคิกมรรคมีองค์ ๘) ว่าธรรมเหล่านี้ดับทุกข์ได้จริง เป็นที่พึ่งได้จริง และให้เชื่อมั่นในตนเองว่าจะปฏิบัติธรรมเหล่านี้ได้ เชื่อมั่นในตนเองว่า ตนมีคุณธรรมที่จะดับทุกข์เหล่านั้นได้อย่าเพียงพอ

๒. มีวิริยะ : คือ มีความเพียร ความกล้าหาญ ยิ่งมีศรัทธาในธรรมะ หรือในตัวเองมาก่อน วิริยะก็จะเข้มแข็งถึงที่สุด เพราะอาศัยอำนาจของศัทธาเป็นพื้นฐาน กล้าหาญพากเพียรในการป้องกันไม่ให้ความชั่วร้าย หรือบาปอกุศลเกิดขึ้นในตน ส่วนบุญกุศลที่ยังไม่เกิดก็สร้างให้เกิดขึ้นมา ครั้งเกิดขึ้นแล้ว ก็รักษาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

๓. มีสติ เป็นธรรมะจำเป็นที่ต้องใช้ทุกกรณี ไม่ว่าที่ใหน อย่างไร ทุกเรื่องต้องควบคุมด้วยสติ เช่น กวาดบ้าน ล้างถ้วยชาม ซักผ้า ฯลฯ มีความสำรวมระวังในอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มีความสำรวมระวังในอายตนะภายนอก คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) อายตนะภายใน - ภายนอก มันเป็นคู่ติดต่อหรือกระทบกัน ทั้ง ๖ คู่นี้จัดอยู่ในฐานะสำคัญ ถ้าจัดการกับมันถูกก็ดีไป ถ้าจัดการกับมันผิด ก็เป็นเรื่องร้ายเหลือที่จะร้าย เราจึงควรศึกษาทำความรู้จักกับอายตะ ๖ คู่นี้ให้ดี

ยกตัวอย่างคู่แรก เช่น ตากระทบกับรูป มันก็เกิดวิญญานทางตา (เกิดการเห็นทางตา) คือ จักษุวิญญานแบ่งเป็น ๓ คือ ตาอย่างหนึ่ง รูปอย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณอย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณทำหน้าที่ทางตา นี้เรียกว่า จักษุสัมผัส จักษุสัมผัสมีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ทำหน้าที่รู้สึกอยู่ เรียกว่าผัสสะ เช่น เมื่อมีผัสสะทางตาแล้ว มันก็จะเกิดเวทนาคือ ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ หรือรู้สึกเฉยๆ ถ้าสติและตัวปัญญาที่อ่อน มันจะไม่หยุดแค่นี้ แต่มันจะเกิดอันอื่นต่อไปอีก คือ มีความยินดี ยินร้าย เมื่อสัมผัสนี้ไม่เป็นที่พอใจ หรือพอใจ ก็จะหลงอยู่ ทีนี้ก็จะเกิด โลภะ (โลภ) โทสะ (โกรธ) โมหะ (หลง) แล้วก็จะเกิดสิ่งต่อไปคือ ตัณหา เช่น อยากได้ อยากมี อยากเป็น, อยากจะฆ่าเสีย อยากทำลาย อยากผลักใส เมื่อมีความอยากแล้วก็จะปรุงต่อเป็นอุปทาน (ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน, มีอะไรเป็นของตน) ที่มันจะเป็นเรื่องสำหรับทุกข์ทรมานต่อไปอีก ฯลฯ

แต่ถ้ามีสติ มีปัญญา ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว ก็มีจะสติทันเวลา เมื่อมีอะไรมากระทบที่ตา ก็จะเป็นการกระทบที่ฉลาด คือสัมผัสด้วยสติ ไม่หลงปล่อยให้เกิดกิเลส แต่มันกลับรู้ว่าต้องทำอย่างไร แล้วมันก็จะทำในสิ่งที่ควรทำเกิดประโยชน์ ไม่เกิดโทษ

๔. มีสมาธิเอกัคคตาจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์ คือ จิตที่มุ่งเพียงสิ่งเดียว ตั้งอยู่ในสิ่งเดียว มุ่งต่อนิพพานเป็นอารมณ์เท่านั้นไม่มุ่งอย่างอื่น นี้คือ ใจความของสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ จะทำสมาธิแบบใหน กี่แบบ ต่างๆ กัน ก็ทำไปได้เลย การหวังพระนิพพานอยู่ตลอดเวลานั่นแหละคือ เอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ อยู่ที่บ้านก็ทำได้ ยิ่งกำลังเป็นทุกข์อยู่ก็ยิ่งชวนให้ทำ

๕. มีปัญญา คือ รู้สิ่งที่ควรรู้ ตามความเป็นจริงที่ดับทุกข์ได้ และควรรู้อยู่ตลอดเวลา เป็นอยู่ด้วยสติปัญญาว่า สิ่งนี้ควรทำอย่างไร แต่ระวังอย่าให้ความคิดประเภทยึดมั่น ถือมั่น ตัวตน ของตน ตนต้องได้ ตนจะอะไร เกิดขึ้นมา เช่น ทำงานออฟฟิต อย่าให้ความอยากจะได้ผลงานเร็วๆ ขึ้นมา นี้เป็นของผิด เพราะจะนำพาให้เกิดความหวัง เกิดกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นเรื่องทำให้ทุกข์ใจอีก อย่าประมาท เมื่อทำงานอยู่ก็มีปัญญาในงานที่ทำ เมื่อทำงานเสร็จก็ใด้ผลงานก็มีปัญญา อยู่ในการได้ผลงาน อย่าให้ใด้ผลงานด้วยกิเลสตัณหา

ดังนั้นขอให้ผู้ที่บวชอยู่ที่บ้านปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้เข้ากับการบวช โดยการ สมาทานสิกขาบทคือ ศัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ให้แทรกอยู่ในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดเต็มที่ แล้วก็จะได้เห็นผล สำเร็จสมปรารถนาแน่นอน....สาธุ เจริญธรรม

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

คำสอนของครูบาอาจารย์ (๓)



"เมื่อได้รับความทุกข์ กลุ้มใจแล้ว
ก็บอกว่านี่แหละเราเคยทำไว้เช่นใดแล้วเราก็ได้รับอย่างนี้แหละ
เราก็พอใจยินดีกับกรรมของเราแล้ว เราจะไม่ทำกรรมชั่วนั้นขึ้นอีกต่อไป
กรรมที่มันมีอยู่แล้วแต่ก่อนก็ค่อยๆ หมดไปๆ ไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นมาอีก
นี่จึงจะถูก ถูกหนทางที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
อย่าได้สร้างกรรมเวรต่อไปอีก จะเกิดภพเกิดชาติไม่มีที่สิ้นสุดลงได้"

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

บทกวีงานวิวาห์.....




เก็บตกบทกวีจาก FB ของ Sopon Pearsanit อ่านแล้วขำๆ แต่ก็เข้ากับยุคสมัยนี้ดีเลยจับมาทำนิทานสอนผู้ใหญ่เสียเลย


กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานมานี้ มีคู่บ่าวสาวเข้าพิธีแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เนื่องด้วยพ่อเจ้าสาวเป็นคนมีหน้าตาในสังคม แต่ไม่ค่อยกินเส้นกับว่าที่ลูกเขยสักเท่าใดนัก ด้วยหวงลูกสาวโฉมงามเป็นนักหนา แต่ลูกสาวได้ทุ่มจิตเทใจให้หนุ่มรูปหล่อคนนี้แล้ว ปานประหนึ่งนางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะเสียนี่กระไร พอถึงเวลาพ่อเจ้าสาวได้กล่าวฝากฝังลูกสาวให้เจ้าบ่าวตามธรรมเนียม พร้อมกับยกย่องลูกสาวว่าเลิศเลอเปอร์เฟ็คส์เสียนักหนา และพูดข่มเจ้าบ่าวในทีว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ได้ลูกสาวตนไปเป็นภรรยา เพราะดูแลมาริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ต้อง ไม่เคยหม่นหมอง เจ้าบ่าวฟังแล้วก็คันในหัวใจ อยากเอาคืนบ้างเมื่อถึงคราวเจ้าบ่าวขอบคุณแขก เลยเอ่ยบทกวีว่า....

เจ้าบ่าว...

"วันนี้ดีใจจะได้เมีย
หลังจากที่ได้เสียกันหลายหน
วันนี้จะมีเมียเป็นตัวตน
ขอบใจแขกทุกคนที่มางาน"

ว่าที่พ่อตาได้ฟังถึงกับลมจับ แขกทั้งหลายต่างตกตะลึงพรึงเพริด ไหนพ่อเจ้าสาวคุยนักหนาว่า ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แล้วทำไมหนุ่มน้อยคนนี้ถึงได้ล้วงคองูเห่าแอบได้เสียกับเจ้าสาวก่อนแต่ง

เจ้าสาวได้ฟังก็แค้นใจแสนสาหัส หนอย สามีสุดที่รัก รับประทานในที่ลับมาไขในที่แจ้ง ดู๊ดู ...อย่ากระนั้นเลยจำเราต้องแก้เผ็ดบ้าง เลยอ้างเอ่ยวาจาออกมาว่า

เจ้าสาว...

"วันนี้ดีใจจะได้ผัว
หลังจากที่เสียตัวมาหลายหน
ในวันนี้จะมีผัวเป็นตัวตน
แต่เป็นคนที่เท่าไหร่...ไม่ได้จำ"

คราวนี้คุณพ่อตาเลิกลมจับ วิ่งหาปืนมาส่องกระบาลทั้งลูกเขยลูกสาวโทษฐานที่ทำให้ขายหน้าประชาชี งานวิวาห์เลยวุ่นเป็นวิวาห์อลเวง....

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จงคิดก่อนพูด ...."

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความจริงของโรคติดต่อ...ทางปาก

พักนี้มีหลายคนมาบ่นๆ เรื่องถูกระบายสีชีวิตจนเกิดสีสัน คนพูดอาจสนุกปาก แต่คนถูกพูดถึงอาจขำๆ หรือคันๆในอารมณ์จนถึงอยากเอาระเบิดไปปาหัว เอามีดเฉาะปากคนพูด แต่เรามามองความจริงตามคุณวินทร์ เลียววาริณแล้วอาจฉุกคิดมีสติที่จะไม่โต้ตอบเพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระดำรัสสั่งสอนไว้ว่า คำนินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้ คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่ ควรถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทา

นินทานั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้น แม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด

ความเชื่อในเรื่องกรรมและ ผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย

คุณวินทร์ เลียววาริณ ได้เสนอบทความว่า
งานอดิเรกยอดฮิตอย่างหนึ่งของชาวมนุษย์คือการสอดรู้สอดเห็น อาจพัฒนามาจากสัญชาตญาณสอดรู้สอดเห็นเพื่อให้อยู่รอดในโลกกว้าง จนกลายมาเป็นการสอดรู้สอดเห็นเพื่อความบันเทิง พูดง่ายๆ คือรู้สึกดีเวลารู้ความลับของคนอื่น!

และเมื่อบวกกับนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็นิยมขยายการรู้ความลับของคนอื่นให้คนอื่นๆ รับรู้ด้วย!

โบราณบอกว่าการนินทากาเลเป็นนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่ง แต่บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ความจริงแล้วการนินทาเกิดจากเชื้อโรคชนิดหนึ่ง เชื้อโรคพันธุ์นี้มักเกิดแถวปากและแก้วหู ทำให้เกิดอาการคันปาก อยากระบายมันออกไป ตามหลักขจัดพิษด้วยตัวเอง (self detoxfication)! โรคนี้ภาษาแพทย์ยาวมาก นิยมเรียกย่อว่า TIGER ซึ่งมีที่มาจากคุณลักษณะห้าข้อของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้คือ

T - Talkative พูดก่อน คิดทีหลัง (อาการจะหนักขึ้นหากประกอบอาชีพนักการเมือง)

I - Immature ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง

G - Garbage ชอบขลุกกับขยะ (พวกชอบดูหนัง ‘น้ำเน่า’ อาจพอเข้าข่ายนี้!)

E - Eavesdropping ชอบแอบฟังเรื่องลับเฉพาะทั้งหลาย

R - Relating มีความสามารถเชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าด้วยกันได้ (พอกล้อมแกล้มได้ว่าเป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง)

เชื้อโรคสายพันธุ์นี้เมื่อมาถึงเมืองไทยมักจะกลายพันธุ์ มีฤทธิ์แรงกว่าเดิม ทางการแพทย์ไทยเรียก TIGER-ก (ก คือ กลายพันธุ์) ถึงไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ส่งผลถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นโรคที่น่ารำคาญและสมควรรักษาให้หายขาดอย่างยิ่ง

อาการของโรคนี้คือ ชอบขยายความ

ฟังมาเรื่องหนึ่ง จะเล่าเรื่องเสริมแถมไปด้วย เช่น มีคนเล่าให้ฟังว่า นางสาว ก. สวมชุดอาบน้ำว่ายน้ำในโรงแรม และเกิดอุบัติเหตุหกล้ม ก็เล่าเสริมว่า อาจเพราะมัวแต่มองชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง

ท้ายสุดเมื่อผ่านการเล่าไปสิบปาก เรื่องก็กลายเป็นว่า นางสาว ก. เกิดอุบัติเหตุบิกินีหลุดล้มใส่ชายหนุ่มคนหนึ่ง และเลยกลายเป็นสัมพันธ์สวาทกับนายคนนั้น ฯลฯ

ขยายความเสียจนจำเรื่องเดิมไม่ได้

และหากสำทับด้วยประโยค "จุ๊! จุ๊! อย่าบอกใครนะ" ข่าวนั้นก็ยิ่งเดินทางเร็วกว่าจรวด!

วิธีการป้องกันรักษา :

1 เลิกอ่านคอลัมน์ซุบซิบนินทา

2 ใช้หลักฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ใครเล่าเรื่องไม่ดีของคนอื่นให้ได้ยิน ก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้น

3 หัดมองด้านดีของคนอื่นบ้าง

4 ใช้หลัก ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ ลองนึกดูว่าหากเราเป็นคนที่ถูกนินทา จะเจ็บปวดเพียงใด

5 ใช้หลักสามัญสำนึก หากเรื่องที่คุณได้รับการบอกเล่าเป็นเรื่องลับของใครคนหนึ่งจริง มันก็คงเดินทางมาไม่ถึงหูคุณ

6 ใช้หลัก ‘กรรมสนองกรรม’ หากคุณนินทาคนอื่นได้ คนอื่นก็นินทาคุณได้

7 เคารพการตัดสินใจการใช้ชีวิตของผู้อื่น ชีวิตใครชีวิตมัน มนุษย์สมควรมีเสรีภาพที่จะเลือกใช้ชีวิตของเขาหรือเธออย่างไรก็ได้

8 อย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา อย่าพยายามตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของศีลธรรม ค่านิยม หรือความเห็นส่วนตัว

ชีวิตของมนุษย์บนโลกสั้นนัก น่าเสียดายเวลาหากต้องเสียมันไปกับเรื่องที่ไม่เกิดผลอะไร

รกหู รกสมอง รกใจ


สิ่งสวยงามในโลกนี้ยังมีมาก ไปขลุกกับของสกปรกทำไม

เอ้อ! แล้วอย่าบอกใครนะ!

วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วาทะดังตฤณ DUNGTRIN

การให้อภัย

: เหตุเกิดจากไฟ เราเลือกได้ว่าจะเป็นไฟ หรือน้ำนะ ถ้าเลือกเป็นไฟ ก็เผาใจตนเองและผู้อื่น ถ้าเลือกเป็นน้ำ ก็นำความเย็นสบายมาสู่สองฝ่าย

: ก่อนอื่นต้องมองว่าตอนใครทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจมากๆนั้น คือรูปแบบหนึ่งของการโดนทวงหนี้​ เมื่อมองอย่างนี้คุณจะเต็มใจให้​อภัย และทราบชัดจากความเบาหัวอก ว่าหนี้เก่าถูกชำระแล้ว อาจต้องผ่อนส่งหลายครั้ง หรืออาจเหมารวบเบ็ดเสร็จในครั้ง​เดียว

: สรุปคือเมื่อถูกทำให้แค้นแล้วไม่คิดแก้แค้น เรียกว่าเป็นการใช้หนี้ ขอให้จำไว้ว่าคุณอาจโกรธโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่มีทางอภัยโดยบังเอิญ

: อย่าเมตตาแบบเจืออยู่ด้วยความคา​ดหวัง เมตตาที่แท้รินออกมาเมื่อเห็นคว​ามพยาบาทเหมือนโรคทางใจ สละได้ใจเราก็เป็นสุขเอง

: อย่าถามว่าอภัยแล้วจะได้อะไรมา ให้ถามว่าถ้าอภัยแล้วเป็นอิสระจ​ากคุกร้อนๆที่ใจโดนขังอยู่จะเอา​ไหม

: ให้อภัยคนเลวหมดใจ แล้วจะรู้สึกว่าต้องไปเกี่ยวข้อ​งกับคนเลวน้อยลง

: การอภัยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม การจองเวรสิต้องเสียยิ่งกว่าเดิ​มไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งเวลา ทั้งกำลังกายกำลังใจ บุญบาปทำหน้าที่อยู่แล้ว เราปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้าง​เอง เดินเอง และเสวยผลเองน่ะดีที่สุด ถ้าผูกใจเจ็บก็เท่ากับพลอยกระโจ​นไปร่วมรับบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง​บนเส้นทางของเขาด้วย

: การผูกกรรมมีความพิสดารลึกซึ้ง เราคาดไม่ถึงหรอก เรานึกว่าแค่ผูกใจเจ็บก็เป็นเรื่องส่วนตัวในใจ แต่ความจริงมันเกิดกระแสเวรผูกพันระหว่างวิญญาณขึ้นมา แม้เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาก็​ตาม เขาเป็นฝ่ายกระทำต่อเราวันนี้ อนาคตจะต้องมีเรื่องมีราวให้เรา​มีอำนาจเหนือกว่า และกรรมเก่าจะยั่วยุให้เราคิดเอ​าคืนบ้าง ซึ่งก็แปลว่าเราจะมีโอกาสทำบาปแ​ละรับผลจากบาปนั้นคืนในกาลต่อไป

: การอภัยในเรื่องน่าเจ็บปวดที่สุ​ด ทำได้ยากที่สุด จึงแทบจะเป็นการทำแต้มสูงสุดในเ​กมกรรม และกล่าวได้ว่าเป็นการใช้หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็น่าเห็นใจ แต่หากทำได้ ก็ไม่มีบุญกุศลชนิดไหนๆอีกแล้วที่คุณจะทำไม่ได้

รวบรวมวาทะพี่ดังตฤณ : การให้อภัย
http://www.facebook.com/note.p​hp?note_id=180959841930417

ขอเก็บไว้เตือนตัวเอง ว่า ทุกวันนี้เราให้อภัยได้แค่คำพูดหรืออย่างไร ทำไมความคิดจึงวนเวียนกับเรื่องเดิมๆอยู่ ใจเรายังถูกขังคุกอยู่ใช่ไหม บทความนี้จะช่วยให้เรามีสติได้ เอาเป็นว่าเผลอเมื่อไหร่ก็จะเข้ามาดูเป็นระยะๆนะ ต้องขอบคุณ คุณดังตฤณที่เขียนบทความนี้ขึ้นมากระตุกต่อมสติได้ดี
ขอบคุณนะคร้าาา....


วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คำสอนของพระพุทธเจ้า (๒)

สุภูตเถรคาถาสุภาษิตสอนไม่ให้ดีแต่พูด...



[๓๓๖] บุรุษผู้ประสงค์จะทำธุรกิจ เมื่อประกอบตนในกิจที่ไม่ควรประกอบ ถ้าเมื่อขืนประพฤติอยู่อย่างนั้น ก็ไม่พึงได้สำเร็จผล การประกอบในกิจที่ไม่ควรประกอบนั้น มิใช่ลักษณะบุญ .ถ้าบุคคลใด ไม่ถอนความเป็นอยู่อย่างลำบากแล้วมาสละธรรมอันเอกเสียบุคคลนั้นก็พึงเป็นดังคนกาลี .ถ้าสละทิ้งคุณธรรมแม้ทั้งปวง ผู้นั้นก็พึงเป็นเหมือนคนตาบอด เพราะไม่เห็นธรรมที่สงบและธรรมไม่สงบ .บุคคลพึงทำอย่างใด พึงพูดอย่างนั้นแล ไม่พึงทำอย่างใด ไม่พึงพูดอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำหนดรู้ว่า บุคคลผู้ไม่ทำ ดีแต่พูดนั้นมีมาก .ดอกไม้งาม มีสีแต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทำอยู่ก็ฉันนั้น .ดอกไม้งาม มีสี มีกลิ่น ฉันใด วาจาอันเป็นสุภาษิตย่อมมีผลแก่บุคคลผู้ทำอยู่ ฉะนั้

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คำสอนของครูบาอาจารย์ (๒)




อย่าทำผิดซ้ำซาก(ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)

จงระลึกถึงคติพจน์ว่า.....

...do no wrong is do nothing...
ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย

ความผิดนี้แหละเป็นครูอย่างดี
ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเอง ที่ทำอะไรผิดพลาด
และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือ ความผิด
จะได้ตรงกับคำว่า ...เจ็บแล้วต้องจำ...
ตัวทำเอง ผิดเอง นี้แหละ เป็นอาจารย์ผู้วิเศษ
เป็น ...good example... ตัวอย่างที่ดี
เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ทำผิดต่อไป
แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อ เผลอประมาท
อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านล่วงเลยไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังอยู่
คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า...

...ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า

สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำ อภัยไฉน...

จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า
นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี
และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี
ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาด

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

คำสอนของครูบาอาจารย์ (๑)


จงยืนกราน สลัดทั่ว ชั่งหัวมัน
ถ้าเรื่องนั้น นั้นเป็นเหตุ แห่งทุกข์หนา
อย่าสำออย ตะบอยจัด ไว้อัตตา
ตัวกูกล้า ขึ้นเรือย ๆ อัดใจตาย
เรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อย ลอยมาเอง
ไปบวกเบ่ง ให้เห็นว่า จะฉิบหาย
เรื่องเล็กน้อย ตะบอยเห็น เป็นมากมาย
แต่ละราย รีบเขวี้ยงขว้าง ชั่งหัวมัน
เมื่อตัวกู ลู่หลุบ ลงเท่าไร
จะเย็นเยือก ลงไป ได้เท่านั้น
รอดตัวได้ เพราะรู้ใช้ “ชั่งหัวมัน”
จงพากัน หัดใช้ ไว้ทุกคน ฯ

...หลวงพ่อพุทธทาส...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

คำสอนของพระพุทธเจ้า (๑)




"การปล่อยวาง" ดูก่อน อุปกะ ความทุกข์ทั้งมวลมีมูลรากมาจากตัณหาอุปาทาน ความทะยานอยากดิ้นรน และความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราเป็นของเรา รวมถึงความเพลินใจในอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดถือไว้โดยความเป็นตน เป็นของตน จะไม่ก่อทุกข์ก่อโทษให้นั้น เป็นไม่มีหาไม่ได้ในโลกนี้...

เมื่อใดบุคคลมาเห็นสักแต่ว่าได้เห็น ฟังสักแต่ว่าได้ฟัง รู้สักแต่ว่าได้รู้ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ สักแต่ว่าเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่หลงใหลพัวพันมัวเมา เมื่อนั้นจิตก็จะว่างจากการยึดถือต่างๆ ปลอดโปร่ง แจ่มใส เบิกบานอยู่...

ดูก่อน อุปกะ เธอจงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างเปล่า มีสติอยู่ทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความยึดมั่น ถือมั่นเรื่องตัวตนเสียด้วยประการฉะนี้ เธอจะเบาสบายคลายทุกข์ คลายกังวล ไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวางและการสำรวมตนอยู่ในธรรม


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

So cute...

One must heal themselves separate from another.
Another cannot heal you.

อะไรที่มันเยอะๆ ยากๆ เหวี่ยงๆ ...ก็เปลี่ยนให้เป็นน้อยๆ ง่ายๆ นิ่งๆ...
ชีวิตสุขขึ้นอีกโขเลย


การที่ใครสักคนต้องอดทน...เป็นตัวบั่นทอนความรัก

ไม่ต้องอยากรู้เรื่องของคนอื่นมากนัก ก้อจะเป็นการดีกับชีวิต
(ไม่ต้องเจือกเป็น spy เลย)



Warm friendship....





Never miss an opportunity to make others happy,
even if you have to leave them alone in order to do it. ~Author Unknown


ขอบคุณภาพน่ารักๆจาก Awaken Fool แวดวงใน Google +

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ใจดี...ใจสบาย



วันนี้เป็นวันพระ ตื่นแต่เช้าหุงข้าวไปใส่บาตรวัดสันป่าสักวรอุไรธรรมาราม หางดง เชียงใหม่ แวะซื้อขนม นมเปรี้ยวไปใส่บาตรด้วย ออกสายไปหน่อย ไปถึงที่วัดพระท่านออกบิณฑบาตรกันแล้ว แต่รอใส่ตอนพระท่านมาขากลับก็ได้
เสาร์นี้ พระอาจารย์ภู หลวงพ่อวิน หลวงพ่อบรรทมไม่อยู่ ไปงานศพที่วัดแพร่ ธรรมาราม แต่คนมาทำบุญก็เยอะ ทุกคนมีอาการสำรวม พูดกันเบาๆ ใส่บาตรเสร็จก็นั่งสมาธิรอ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยทางวัดเปิดเสียงเทศน์ไปด้วยขณะนั่งสมาธิ ทำให้จิตใจจดจ่อกับลมหายใจพร้อมกับฟังเสียงบรรยายคุณของพระพุทธเจ้าไปพร้อมๆกัน รู้สึกปิติ สงบ เช่นทุกครั้งที่มานั่งสมาธิที่นี่ ได้กลิ่นหอมๆมาอีกแล้ว แต่ก็รู้เฉยๆเหมือนหลวงพ่อสังวาลย์บอก

ครบชั่วโมงพระอาจารย์วรพจน์ก็ลงพร้อมพระองค์อื่นๆ สวดมนต์ไหว้พระ รับศีลแล้วนั่งสมาธิฟังพระอาจารย์เทศน์เรื่องการระงับความโกรธต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วแผ่เมตตา

รู้สึกใจดี ใจสบาย เพราะได้ให้ทานรักษาศีลและภาวนาเหมือนที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เจ้าอาวาสวัดแพร่ธรรมารามได้เมตตาเตือนให้ปฏิบัติอยู่ตลอดว่า ผู้ที่มีใจดี ใจสบายนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีศีลก่อน อย่างน้อยก็ต้องรักษาศีล๕ ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง หรือถ้ารักษาศีลอุโบสถ ศีล ๘ได้ก็ยิ่งดี เพราะศีลเป็นฐานรากของการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นตัวขัดเกลากิเลส ต่อไปก็ต้องมีจิตที่นิ่ง มั่นคงไม่หวั่นไหวต่ออกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งจะนำให้เกิดปัญญาเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง นั่นก็คือหลวงพ่อท่านให้พวกเราปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ให้รักษาศีล เจริญสมาธิ ให้มีสัมมาปัญญา นั่นเอง

ขากลับ แวะดูบ้านคนไข้จิตเวชที่ชาวบ้านร่วมกันบริจาคเงินสร้างกันในที่ดินของ ศสมช.หมู่ 4 สารภี ซึ่งขาดเงินซื้อปูน กระเบื้องมุงหลังคา ในราคา 1,700 บาท เลยรับเป็นเจ้าศรัทธาในส่วนนี้ บริจาคแล้วจิตใจชุ่มชื่น ใจดี ใจสบาย...จริงๆ..

wwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwww

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทำใจได้...สบายทุกอย่าง

entry ที่แล้วพูดเรื่องความเชื่อใจ เลยคิดว่า เอาหมวดใจนี่แหละมาเขียน ได้หลายentry ดี หุหุ
แบบอ่านเรื่องนั้น นู้น นี่ มาจับแพะชนแกะ ให้ได้ entry มาอ่านแบบชิลๆ กัน

ฮะแอ้ม...คราวนี้เอาเรื่อง ทำใจ ที่ไม่ใช่ทัมใจยาแก้ปวด แต่ถ้าใครปวดใจก็มาอ่านกันนะคะ

ความเป็นจริงแล้วใจนั้นบริสุทธิ์ผ่องใส กิเลสเข้าจับทำให้สกปรกไปตามกิเลส ปล่อยให้กิเลสจับมากเพียงไร ใจก็สกปรกขึ้นเพียงนั้น นำกิเลสออกเสียบ้าง ใจก็จะลดความสกปรกลงบ้าง

กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของใจ คือโลภ โกรธ หลง นั้นนำออกจากใจได้จริง นำออกมากน้อยเพียงใดก็ได้ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยปัญญาเป็นสำคัญ ผู้มีปัญญา มีความเห็นชอบ เห็นถูก ย่อมเห็นว่ากิเลสเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมองจริง จึงไม่ควรปล่อยไว้

ในเมื่อไม่ต้องการมีใจเศร้าหมอง แต่ต้องการมีใจผ่องใส เป็นสุข โลภก็ตาม โกรธก็ตาม หลงก็ตาม ทำให้ใจเศร้าหมองทั้งสิ้น มีมากก็เศร้าหมองมาก มีน้อยก็เศร้าหมองน้อย ไม่มีเลยก็ไม่เศร้าหมองเลย

ลองถามตนเองดูว่า ต้องการเป็นทุกข์เศร้าหมองหรือ ก็จะได้คำตอบแน่นอนว่า ไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ต้องการเป็นสุข ผ่องใส ยิ่งเป็นสุขผ่องใสเท่าไรก็ยิ่งดี เป็นสุขผ่องใสตลอดเวลาก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ

เมื่อได้คำตอบ รู้ความต้องการของตนเช่นนี้ ก็ให้ยอมเชื่อว่าการจะทำใจให้เป็นสุขผ่องใสนั้น ไม่มีใครทำให้ใครได้ เจ้าตัวต้องทำเอง วิธีทำคือเมื่อเกิดโลภ โกรธ หลงขึ้นเมื่อใด ให้พยายามมีสติรู้ให้เร็วที่สุด และใช้ปัญญายับยั้งเสียให้ทันท่วงที
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ฟังดูเหมือนง่ายเนอะ แต่การที่จะลดความเศร้าหมองของจิตใจหรือลดความทุกข์ทางใจลง สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ขณะที่กำลังของสติยังไม่เข้มแข็ง บางคนยังยึดมั่นถือมั่นกับความทุกข์ การผูกใจเจ็บ ละวางลงไม่ได้ง่ายๆ ก็คือ "การให้อภัย" ในทางพุทธศาสนาถือว่าการให้อภัยทานจะได้อานิสงส์ผลบุญเท่ากับธรรมทาน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในจิตของตัวเอง เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อภัยทานคือปัจจัยแห่งพระนิพพาน เริ่มจากให้อภัยตัวเองก่อน แทนที่จะนึกเจ็บใจตัวเองว่า ทำไมถึงโง่ให้เขาหลอกอย่างนี้ ก็นึกให้อภัยตัวเองว่า เราเป็นคนดี มีความจริงใจถึงไม่รู้เท่าทันเขา เราไม่ได้โง่สักหน่อย

การให้อภัยเป็นการสกัดความรู้สึกลบอย่างเด็ดขาด ความรู้สึกโกรธแค้นจะหายไป แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้อภัยจากความรู้สึกไม่ใช่จากความคิด เราอาจจะคิดให้อภัย แต่ความรู้สึกลึกๆยังอาฆาตพยาบาท กรรมเก่านั้นก็ยังฝังตัวอยู่ รอการแสดงผลต่อไปในอนาคต การไม่รู้จักให้อภัยหรือไม่มีเมตตา ก็คือการจองเวรผูกเวร ที่จะต้องกลับมารับกรรมนั้นอีก ดังนั้นหากเราจะตัดกรรมเราต้องรู้จัก "การให้อภัย" เป็นการให้อโหสิกรรม ไม่ให้กรรมนั้นก่อผลข้ามภพข้ามชาติผูกต่อกันไปอีก

เมื่อจิตใจเราให้อภัยแล้วก็จะมีเกิดความรู้สึกดีๆ ให้ใส่ใจอยู่กับรสสุขของภาวะแห่งจิตไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าอยู่ในอาการแผ่เมตตาแล้ว การตกเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลบเสมอไป การที่เราถูกคนอื่นหลอกก็ไม่จำเป็นต้องโกรธกลับ จงคิดว่าเขากำลังมีปัญหาบางอย่างที่คับข้องใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ กลัวที่จะพูดความจริงแล้วสูญเสียผลประโยชน์บางอย่าง ฯลฯ แทนที่จะโกรธ ควรเห็นใจและสงสารเขา วิธีการเมื่อถูกกระทำคือ การแผ่เมตตา จะช่วยทำให้ลดความรู้สึกลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกพยาบาท เมตตาจิตจะทำให้เราละจากการจองเวร จิตใจเย็นชุ่มชื่นอันเนื่องมาจากการระงับของเวรทั้งปวง จิตจะสงบ อ่อนโยน และมีความสุข

พอทำใจได้...ก็สบายทุกอย่าง...จริงๆ

ขอขอบคุณบันทึกของคุณ Patidta Wisetbupha กัลยาณมิตรใน Social network ที่ได้คัดมาบางส่วน

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อใจ

"จงใส่ใจดูแล 3 เรื่องนี้เป็นพิเศษคือ ความเชื่อใจ คำสัญญา และสัมพันธภาพ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่ส่งเสียงใดๆ เมื่อมันแตกสลาย "

ได้สำนวนนี้มาจากทวิตเตอร์ล่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถอ้างอิงว่าของใคร แบบว่า แว่บๆน่ะ แต่มาโดนก็ต่อเมื่อ มานั่งนึกๆ
เออ จริงสิ....มันไม่จำเป็นต้องเป็นของคู่รักอย่างเดียว แต่ใช้ได้กับเพื่อน ญาติ ผู้ร่วมงาน หรือใครต่อใครที่เรามอบความไว้วางใจ
เชื่อใจในความเป็นตัวตนของเขาในมุมมองของเรา
มีทฤษฎีว่าต้วยความเชื่อใจ เครดิตจาก powerbeer的บล๊อก

อันทฤษฎีที่ว่าด้วยความเชื่อใจ เขากล่าวไว้ว่า

"การที่คนเราจะเชื่อใจใครสักคน
นั่นหมายความว่าเราต้องให้ใจเขาไปแล้ว
ซึ่งหมายถึง เราได้ใช้สมองและหัวใจกลั่นกรองมาแล้วพอสมควร
ยิ่งเชื่อใจมาก ยิ่งผ่านกระบวนการดังกล่าวมาแล้วอย่างหนัก

ความเชื่อใจ มีสถานะคล้ายของแข็ง
ถ้าเราเชื่อใจซะอย่าง ก็ยากที่จะมีสิ่งใดสามารถทำลายมันลงได้

แต่ธรรมชาติของ ของแข็ง ยิ่งแข็งมันก็ยิ่งเปราะ
ยิ่งถ้ากระเทาะลงตรงจุด
ของแข็ง ไม่ว่าจะแกร่งสักแค่ไหน ก็แตกร้าวได้โดยง่าย

และที่สำคัญ ... ยากยิ่งที่จะสมานให้เป็นดังเดิม

เฉกเช่น ความเชื่อใจ ...

บางสำนวนก็เปรียบเปรยเป็นยางลบ ดังเช่น

Twitter / Tirasan Sahatsapas:ความเชื่อใจก็เหมือนยางลบ ผิดบ่อยบ่อย ยางลบก็ก้อนเล็กลง… via @Seiyaxo #mottoTH

อืมม...ก็ยังดีนะที่ยังค่อยๆเล็กลง แสดงว่า ผิดได้หลายครั้งสินะ หุหุ แต่มีผู้กล่าวไว้อีกแระว่า ความไม่เชื่อใจเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแต่บุคคลนั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายหลอกลวงแม้แต่เพียงครั้งเดียว ก็จะรับรู้ว่า อาจถูกหลอกลวงได้อีกในอนาคต เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจซึ่งแปรเปลี่ยนยากเสียแล้ว

ดังนั้น.....เมื่อคบใครไม่ว่าฐานะใดก็ตาม

เราไม่ควรไปคาดหวังสิ่งใด ๆ ในตัวเขาเหล่านั้น .....
ไม่ต้องคาดหวังถึงความจริงใจ.....
ไม่ต้องคาดหวังถึงการกระทำที่ดีที่เขาจะมีให้.....
ไม่ต้องคาดหวังถึงความรัก และความผูกพัน.....
เมื่อไม่ต้องคาดหวังใด ๆ แล้ว เราก็จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
เมื่อเขาทำให้เราไม่เชื่อใจ หรือเขาจะไม่เชื่อใจเราก็ตาม.....
ชีวิตเราก็จะดำเนินต่อไปได้ โดยไม่รู้สึกอะไร....


โหย...apathy ไปหรือเปล่าเนี่ย...OMG...

วันหลังจะมาเม้าท์เรื่อง คำสัญญาและ สัมพันธภาพนะคะ

โปรดติดตามตอนต่อไป

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แมวของลูก



ดีค่ะ ชื่อสีทอง เป็นแมวนะคะ
ตอนนี้สีทองอยู่ชั้นสองบ้าน​หอยทากค่ะ
ไม่ได้แท็กมาขายอะไรนะคะ เป็นแมวค่ะ จะขายห่าไรล่ะคะ
แค่จะมาระบายเฉย ๆ ว่า วัน ๆ อยู่บ้านหลังนี้ ไม่ได้ทำอะไร
วัน ๆ ต้องถูกไอ้น้ามชากระทำการโห​ดร้าย กลั่นแกล้งอยู่เสมอ
ประหนึ่งแค้นที่สีทองไปเหยี​ยบตรีนมันเลยล่ะค่ะ
เช่นว่า จับสีทองมาทำเป็นปืนกลแมว
ยิ่งมันดึงขาแล้วสีทองร้องน​ะคะ มันยิ่งชอบใจประหนึ่งว่า
ชอบฟังเสียงผู้หญิงครางเลยทีเดียวล่ะค่ะ
เท่านั้นยังไม่พอ ยังพาเพื่อน ๆ มาบ้านเป็นประจำ
ตอนแรก ๆ เพื่อน ๆ เขาก็นิสัยดีนะคะ ไป ๆ มา ๆ เกรียนแตกค่ะ
รวมหัวกลั่นแกล้งสีทองด้วยซ​ะงั้น
ให้ตายห่าเหอะค่ะ ก็รู้อะนะ ว่าแมวน่ารักมักน่าแกล้ง
แต่อย่ามาลงที่สีทองตัวเดีย​วสิคะ สีหมอก สีฟ้าก็มี ไปแกล้งมันมั่ง
ยังดีมีสีหมอกตัวเดียวที่เห็นใจ
แต่สีฟ้าสิคะ เกลียดสีทองอย่างกะนางเอก กะนางร้าย
(แน่นอนว่าสีทองเป็นนางเอกค่ะ อิอิ)
แต่ไม่เป็นไรค่ะ สีทองเชื่อว่า ถ้าสีทองทำตัวดี ๆ สักวันหนึ่ง
พวกเกรียน ๆ ก็คงสำเหนียกตนได้ และเลิกแกล้งสีทองสักที^^
18 กันยายน 2010 · เลิกชอบ ·

ถูกแท็กมาจาก facebook ชอบมากเลยขอก๊อปไว้ก่อน
คิดถึงสีทอง ตอนนี้ไปวิ่งเล่นบนสวรรค์แล้ว
ไม่ต้องโดนแกล้งนะลูก

--------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เมื่อธรรมะไม่กลับมา

ทุกวันนี้สถานการณ์บ้านเมืองบอกไม่ได้ว่าจะเป็นไปยังไง แต่อย่างไรก็แล้วแต่ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้พวกเราละโลภ โกรธ หลง ฉลาดที่จะทำใจทำตนให้มีศีล สมาธิ ปัญญา จะเข้าพรรษาแล้วขอพวกเรามาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ศีลธรรมกลับมาเถิด ทำจิตใจให้สงบไม่ร้อนรน รับกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นอย่างมีสติ หากบ้านเมืองเกิดกลียุคมาจริงๆ....




คำร้อง ทำนอง/ดินป่า จีวัน
ดนตรี/นุภาพ สวันตรัจฉ์
ขับร้อง/ดินป่า และณพา จีวัน ,แนบ โสตถิพันธุ์ ,สุรชัย จันทิมาธร

เพลง กลียุค
Artist: G-one
Tags: Dhammar
อัลบั้ม "เพลงพุทธทาสเปิดดวงตา"

Lyrics:

เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง

กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
คนดีโดนรังแก คนชั่วโดนยกย่อง
สีขาวกลายเป็นสีดำ สีดำกลายเป็นสีขาว
เรื่องราวโดนบิดเบือน สัจจะกลายเป็นโจร

คนจะกินคน คนจะฆ่ากัน
ความมืดจะคลุมวัน ความมืดจะครองเมือง

เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง

โลกาไร้การแบ่งปัน สังคมไร้ซึ่งน้ำใจ
มองไปทิศทางใด เศร้าใจทุกข์ระทม
แผ่นดินเดือดร้อนเป็นไฟ ภูเขาร่ำไห้หมองหม่น
ป่าไม้หม่นไหม้โศรกตรม แม่น้ำขื่นขมแห้งขอด

ปีศาจหน้าจอเป็นใหญ่ เก้าอี้สีขาว ก็ซีดหม่น
ใบหน้าผู้คน ก็ซีดเซียว มนุษย์มีเขี้ยว ไล่กัดมนุษย์มีธรรม

เมื่อธรรมะไม่กลับมา โลกาจะพินาศ
มวลมนุษย์จะลำบาก คนบาปจะครองเมือง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดใจ

เช้านี้ อากาศมืดครื้ม คิดว่าฝนจะตกเสียอีก เมื่อวานกระหน่ำตกจนสาดเข้าบ้าน
ถุงเงินไปนอนเล่นนอกบ้านกลับมาตัวเปียกร้องให้แม่เช็ดตัวให้ซะลั่นบ้าน
มาวันนี้ สายๆแดดออกแจ๋ซะงั้น ไม่มีอะไรแน่นอนเลย พยากรณ์อากาศบอกจะมีฝนอีกละ
ฟังเพลงเปิดใจ เพลงธรรมะของจินเจดีกว่านะ ชอบมาก
โดยเฉพาะท่อนที่ว่า "สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง" จริงแท้แน่นอนที่สุดเลย....



อาจมีวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ ให้เราเจอสายฝนกระหน่ำ
ไม่มีดวงตะวันคอยส่องให้เดินตาม แล้วฝนยังทำให้เราเปียกปอน
และบางคืนที่ฟ้าไม่มีดาว ปล่อยให้เราเงียบเหงาเดียวดาย
แต่สิ่งที่มองเห็น มันกลับไม่เป็นไป ไม่เหมือนที่เคยต้องการให้อยากจะเจอ

ยิ่งเราร้อนรน ก็ยิ่งร้อนใจกับอะไรที่ผ่านเข้ามา
เปิดใจออกไปหา โลกกว้างใหญ่ อย่าให้ใจต้องจมกับมุมที่หม่นหมอง
เปิดใจและเรียนรู้ที่จะมอง สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง

เมื่อเวลาที่ฝนนั้นโปรยปราย ก็จะมีต้นไม้เติบใหญ่
ให้เราได้เอนนอน คลายเหนื่อยใต้ร่มใบ ต้นไม้ก็มีที่มาจากฝน
อาจจะมีฝันร้ายในบางครา อาจจะมีเหงาๆบางที
แต่ในความโชคร้าย ด้านหนึ่งก็คือดี ก็แล้วแต่ใครจะมองไปที่มุมไหน

ยิ่งเราร้อนรนก็ยิ่งร้อนใจกับอะไรที่ผ่านเข้ามา
เปิดใจออกไปหา โลกกว้างใหญ่ อย่าให้ใจต้องจมกับมุมที่หม่นหมอง
เปิดใจและเรียนรู้ที่จะมอง สุขทุกข์ใดตัวเราเท่านั้นที่เลือกเอง……….



ooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด

นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด !
Posted by นายกรัฐมนตรี_โจโฉ


"เกือบๆเดือนๆที่ผมไม่ได้เขียนเรื่องราวอะไรในโอเคเนชั่นเพราะติดภาระกิจที่ต้องทำในมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังคงติดตามข่าวสารการเลือกตั้งอยู่ไม่ขาดทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออย่างโอเคเนชั่นอันอบอุ่นแห่งนี้

ผมเห็นหลากหลายนโยบายของหลายพรรคการเมืองแล้วรู้สึกว่าประเทศไทยเราคงจะต้องเตรียมพบกับ "หายนะ" ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ในเร็ววัน ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างรายรับกับรายจ่ายของรัฐบาลที่ต้องมาสนองนโยบายขายฝันเพื่อให้เป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐนั้นคือตัวเร่งปฏิกิริยามวลชนที่รอวันจะออกมาเดินตามท้องถนนเพื่อล้มรัฐบาลตามทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย และเป็นตัวที่ทำให้เศรษฐกิจของชาติต้องไปผูกพันธ์กับ "หนี้" ที่เกิดจากการกู้ยืมจากต่างชาติเพื่อมาสนองนโยบายรัฐและทำโครงการประชานิยมให้สำเร็จตามที่ได้หาเสียงไว้

ตลอดเวลาปีกว่านี้ผมเพิ่งจะมาศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย รวมทั้งพระราชประวัติและการทรงงานของพระะเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันและถ้ามองดูในภาพรวมแล้วสามารถสรุปออกมาได้เป็นประโยคเดียวคือ...

"นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด"

"นักการเมืองยื่นปลา" คือลักษณะการทำงานของนักการเมืองที่มักจะหยิบยื่นและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยม "อันเป็นลักษณะธรรมชาติทั่วไปของนักการเมืองทุกชาติทุกภาษา" แต่การยื่นปลานั้นไม่ใช่การสร้างถนน สร้างไฟฟ้า สร้างปะปา หรือสาธารณูปโภค การยื่นปลาที่ว่าหมายถึง "นโยบายประชานิยม" ไม่ว่าจะแจกของ แจกเงิน ขึ้นเงินเดือนค่าแรง สร้างรถไฟฟ้าตามใจนักการเมืองโดยไม่คำนึงถึงปริมาณความจำเป็นที่แท้จริงของประชาชน เป็นต้น

นโยบายประชานิยมเป็นที่น่ารังเกียจของนักวิชาการมาทุกยุคทุกสมัยกลับกลายเป็น "นโยบายหลัก" ในการหาเสียงกับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ การยื่นแต่ปลาให้กับประชาชนคือการสร้างความรวดเร็วในการพัฒนาประเทศและตักตวงซึ่งคะแนนนิยม การหยิบปลาจากแม่น้ำใส่มือประชาชนที่มาขึ้นทุกๆวันนี้ก็คงจะทำให้ "ปลา" หมดไปจากแม่น้ำในเร็ววัน เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูแล้วรัฐบาลหลายรัฐบาลไม่ได้ใส่ใจที่จะเพาะพันธุ์ปลา แต่คิดจะตักปลาในแม่น้ำใส่มือประชาชนอย่างเดียว ซึ่งแตกต่างกับวิถีการทรงงานของพระราชาที่ทรงเพียรทำมาโดยตลอดหกสิบกว่าปี อันเป็นที่มาของคำว่า "พระราชายื่นเบ็ด"

"พระราชายื่นเบ็ด" คือลักษณะการทรงงานของในหลวงคือ "ยื่นเบ็ดตกปลา" ให้ประชาชนแล้วสอนว่าต้องตกปลาอย่างไร ลักษณะการทรงงานแบบนี้ต้องใช้เวลา เห็นผลช้า และประชาชนไม่นิยม อีกทั้งไม่เป็นที่ใส่ใจและน้อมนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ลักษณะงานแบบพระราชายื่นเบ็ดนี้ยังเป็นการ "ถนอม" ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบุคคล รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินได้อย่างมหาศาล สังเกตได้จากลักษณะโดยทั่วไปของโครงการตามพระราชดำริของในหลวงซึ่งจะเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณที่จำกัด แต่กลับได้ผลเกินคาด ซึ่งเราจะหาโครงการแบบนี้ตามโครงการของรัฐบาลไม่ได้สักโครงการเดียว

"พระราชายื่นเบ็ด" นี้ต้องอาศัยความต่อเนื่องของการติดตามโครงการกินเวลานาน โครงการตามพระราชดำริ(ด้านการเกษตร-ปศุสัตว์)บางโครงการต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงตามพระราชดำรัสที่ทรงให้ไว้ตั้งแต่เริ่มโครงการ ประชาชนหลายๆแห่งแม้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์รับทุกอย่าง แต่เมื่อลงมือปฏิบัติจริงกลับเกิดคำถามในใจ "จะสำเร็จจริงหรือ" ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าใจในความคิดนี้ของประชาชน ทรงเน้นย้ำให้ข้าราชการและหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องติดตามผลและรายงานผลให้พระองค์รับทราบตลอดเวลา จนกระทั่งผ่านไปหลายปีเมื่อโครงการตามพระราชดำริสำเร็จ ประชาชนที่เคยคิดว่า "จะสำเร็จจริงหรือ" ก็กลับกลายเป็น "น้ำตาของความดีใจ" ทันทีที่หวนนึกถึงและรู้สึกดีที่อดทนพิสูจน์พระราชกระแสรับสั่งที่เคยให้ไว้เมื่อหลายปีก่อน

แต่การทำงานของ "รัฐบาล" นั้นมีเวลาจำกัด และต้องอยู่ในสถานะที่ได้รับความนิยมจากประชาชนโดยตลอด ทำให้ลักษณะการทำงานออกมาในแนวทางของการ "ยื่นปลา" ซึ่งรวดเร็ว และประชาชนก็ชื่นชอบ ไม่ต้องรอเป็นสิบๆปี แต่กระนั้น "ความไม่ยั่งยืน" ก็จะถามหาภาคประชาชน ความไม่ยั่งยืนที่ว่าพร้อมทำลาย "รากฐาน" ของประเทศไทย นั่นคือ "เกษตรกรรม" ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเท่าที่ผมสังเกตมาในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีรัฐบาลไหนที่ให้ความสำคัญกับ "น้ำมันบนดิน" หรือภาคการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของประเทศไทยมาตั้งแต่ยังเป็นกรุงศรีอยุธยา

พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญของ "เกษตรกรรม" ไทยมากเป็นพิเศษ เพราะทรงเข้าใจพื้นหลังและสภาพความเป็นจริงของชนชาติไทย และภูมิประเทศที่เอื้อกับการเกษตรมากกว่าอุตสาหกรรม โครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่จึงเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำ กักเก็บแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และเป็นโครงการส่งเสริมด้านการเกษตร ซึ่งน่าเสียดายที่รัฐบาลไทยหลายสมัยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าที่ควร ประชาชนส่วนใหญ่ที่เคยทำงานด้านการเกษตรก็ทิ้งเรือสวนไร่นาไปอยู่โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการเกษตรก็ตกไปอยู่ในอุ้งมือนายทุนใหญ่ไม่กี่ราย ซึ่งเขาสามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาด ควบคุมการกินของคนไทยได้สำเร็จ

หลายคนอาจมองว่าดี แต่สำหรับผมแล้วการผูกขาดการค้าโดยนายทุนไม่เคยมีคำว่าดีสักนิด พระเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริม "สหกรณ์ชุมชน" เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากและสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชนโดยไม่ต้องพึ่งพานายทุน แต่ปัจจุบันสหกรณ์ชุมนุมกลายเป็นเพียงทฤษฎีในตำรา ที่ประสบความสำเร็จก็จะต้องใช้เวลาหลายปี อีกทั้งการไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องความรู้ความเข้าใจ จึงทำให้ "นายทุนการเกษตร" เข้ามาครอบครองส่วนแบ่งการตลาดจากสหกรณ์ของประชาชนไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

โดยที่นายทุนนั้นก็อิงแอบกับภาคการเมืองเพื่อให้ "เดินสะดวก" ในการทำธุรกิจ มันจึงกลายเป็นวัฏจักรที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่หายนะในไม่ช้า

และทันทีที่บ้านเมืองเกิดหายนะทางเศรษฐกิจรวมทั้งความเชื่อมั่นของคนในชาติที่ลดลงกับการเมืองก็จะหันไปมอง "เบ็ดตกปลา" ของพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวและสำนึกตัวว่า "สายไปเสียแล้ว" ที่เราจะไปหยิบเบ็ดตกปลานั้นมาใช้ !!!"

อ่านแล้วรู้ศึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทำไมไม่มีใครคิดถึงมุมมองนี้บ้าง หรือถนัดแต่ "ให้ปลา"เป็นนิสัย แล้วแลกเปลี่ยนกับทองเข้ากระเป๋าตนเอง....

สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เห็น - นั่งเล่น



บ่อยครั้งสิ่งที่เราเห็น
กับความจริงที่เป็นก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
เผื่อใจไว้บ้าง ถึงคราวที่ต้องเสียใจ
จะได้ไม่เสียมันไปทั้งหมด


เนื้อเพลง สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เห็น - นั่งเล่น

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Carry On Til Tomorrow.....

iRandomQuotes_
Our eyes are placed in front because it is more important to look ahead than to look back
ดวงตาของเราอยู่ข้างหน้า เพราะการมองไปข้างหน้าสำคัญกว่าการมองย้อนไปข้างหลัง

Carry on till tomorow, there's no reason to look back
ทุกๆสิ่งต้องดำเนินต่อไปในจนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะมองย้อนอดีต

อย่าเสียเวลากับอดีตที่ผ่านมา เราควรเดินไปข้างหน้า ก้าวต่อไป เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต ไม่มีประโยชน์ที่จะจมอยู่กับอารมณ์เก่าๆ
ลุกขึ้นให้กำลังใจตนเอง และมีอุเบกขาคือเห็นโทษของการถือสาและประโยชน์ของการวางเฉย อย่าลงโทษตัวเอง อย่าอาลัยสิ่งที่ล่วงมาแล้ว
มองอนาคตอย่างมีความหวัง อยู่กับปัจจุบันอย่างเข้มแข็ง ไม่มีใครใจแกร่งตั้งแต่เกิด ความแกร่งเกิดจากขันติและอุเบกขา จงมีความอดกลั้นอดทนเถิดกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ หรือสิ่งที่เคยเป็นที่รักที่พอใจแต่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง

การ "ยอมรับ" ความจริงที่ไม่ตรงกับความ "คาดหวัง" ของเรานั้น เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง - พระไพศาล วิสาโล











เครดิตภาพวาดโดย : ก๋าศักดิ์ อภิรักษ์สมัครสมานไชยะไชโยโห่ฮิ้ว จากhttp://www.junjaowka.com

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คิดถึง...blog

ขอโทษน้าที่ละเลยตัวเองไปนานหลายเดือน
กลับมาให้เวลาตัวเองซะหน่อย
เล่าให้ฟังนะว่านอกใจไปเล่น facebook มาทุกๆวัน
ได้เรียนรู้ว่า มีผัสสะกระทบอารมณ์มากทั้งดีและไม่ดี
รู้ว่าพ่ายแพ้กิเลส ความอยาก แบบไร้สติก้อหลายครั้ง
สุดท้ายก้อรู้ว่า ไม่มีอะไรดีเท่ากับการอยู่กับตัวเอง
อย่างเงียบๆ.....
ฟังเสียงภายในของตัวเอง
เฝ้าดูความคิดอารมณ์ของตัวเอง
และปรับแต่งให้อยู่ใน "ทำนองคลองธรรม"
ชอบคำนี้จัง...."ทำนองคลองธรรม"

สามเดือนเข้าพรรษาจะพยายามไม่ไปแวะเวียนหา facebook
ก้อมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง....ขอโทษนะ facebook

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปบวชกันไหม จะไปก็รีบไป หนึ่งชีวิตลูกผู้ชาย หลวงพี่พาไปบิณฑบาต (ภาคแรก ... ผ้าขาว) .

โดย ITim Programmer เมื่อ 4 เมษายน 2011 เวลา 7:00 น
บันทึกชีวิตการอยู่ในวัด ในสถานะผ้าขาว 7 วัน ...

สำหรับคนที่สงสัยว่า "ผ้าขาวคืออะไร"
จะบอกให้ว่า ผ้าขาวก็คือผู้ที่ไปปฏิบัติธรรม จะปฏิบัติตนเหมือนกะพระ แต่สถานะด้อยกว่า(มาก)
และถือศีล 8 ซึ่งเพิ่มจากศีล 5 มา 3 ข้อดังนี้
1 ละเว้นจากการบริโภคอาหารหลังเพล ... วัดที่ไปอยู่กินกันมื้อเดียว ณ เวลา 10.30 น. และห้ามบริโภคนอกเวลานี้
2 ละเว้นจากการร้องรำทำเพลง และชมสิ่งบันเทิงต่าง ๆ ... เลยเล่นเน็ตไม่ได้ T^T
3 ละเว้นจากการใช้เครื่องหอมและประทินผิว ... ข้อนี้มีปัญหากะชีวิตสุด ๆ เพราะใส่โรออนไม่ได้ - -*
นอกจากนั้นยังเปลี่ยนศีลข้อ 3 (เดิม) เป็น ละเว้นจากการประพฤติผิดพรมจรรย์ ... ห้ามเล่นเสียวไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

จากคนที่ไม่เคยเข้าวัดมาเป็น 10 ปี ... ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกะการอยู่วัด จึงได้รู้ดังนี้ว่า
1 ห้ามนั่งเท่ากันกะพระ ... ถ้าพระนั่งเก้าอี้ เราต้องนั่งพื้น
2 วิธีประเคนของให้พระ
3 เวลาคุยกะพระให้ยกมือไหว้ด้วย
แลดู พระช่างสูงส่ง และเราช่างต่ำต้อย เหมือนกันกะชาวบ้าน กะ ขุนนาง ยังไงยังงั้น
แต่มันมีนัยซ่อนอยู่ คือ "ให้เราเป็นผู้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่" ซึ่งเป็นหลักสำคัญ (มาก)
แล้วถ้าพระอายุอ่อนกว่าเราล่ะ (ในวัดก็มีนะ พระอายุ 21 เราอายุ 23)
เราก็ต้องไปนั่งพื้น + ไหว้คุยกะเขาอยู่ดี
เพราะ "ผู้ใหญ่" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง "อายุ" แต่หมายถึง "ศีลที่เขาถือ + จำนวนเวลาที่เขาถือศีล"
ถามว่า "ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น" ได้คำตอบมาว่า
คนเรา ถึงอายุเท่าไหร่ ถ้าไม่ถือศีล ก็มีค่าเท่ากันกับเด็กอมมือ
เด็กอมมือเป็นอย่างไรเล่า? ก็คือผู้ที่ยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้
และคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้สิ่งที่ตนอยากได้ โดยไม่สนใจว่ามันจะผิด หรือใครเขาจะเดือดร้อน
แต่พระ ผู้ตัดกิเลสขาด จาก รัก โลภ โกรธ หลง ด้วยศีล 227 ข้อ
จึงดูว่า พระจะเป็นผู้ใจเย็น สำรวม น่าเคารพ
(ในกรณีนี้ เราจะไม่นับพระที่ทำผิดวินัยสงฆ์นะครับ ... นั่นมันอีกกรณี)

กลับไปที่ผ้าขาว ... วัน ๆ ได้ทำไรมั่ง
ตี 3 นั่งสมาธิ
ตี 4 ทำวัตรเช้า
ตี 5 ทำกิจวัตร ..คือทำความสะอาดวัดในส่วนที่ตนได้รับมอบหมายนั่นแหละ
7 โมง บิณฑบาต ... ผ้าขาวมีหน้าที่คือ จกบาตรพระ เวลามีคนมาใส่บาตร ก็เก็บออกจากบาตร.. เพื่อไม่ให้บาตรเต็ม
* มันเป็นช่วงเวลาแห่งการรบจริง ๆ จกช้าไปพระก็ปิดบาตร ยิ่งคนจกไม่พอ + วันพระคนมาใส่บาตรกันเยอะมาก ... นรก*
กลับวัดสิ่งที่ต้องทำคือ "ล้างเท้าพระเถระ (พระที่บวชมา 10 ปีขึ้นไป)" ก็ไปบิณฑบาตเท้าเปล่านี่ครับ เท้าก็ดำ ต้องขัดออกด้วยแปรง

ทำไปทำไม? ..เพื่อให้เราละลายพฤติกรรมที่เป็นอัตตา(ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน)ของตัวเอง
... นี่กุเป็นโปรแกรมเมอร์นะ มาล้างเท้าให้คนอื่นเนี้ยอะนะ เท้าพ่อเท้าแม่กุยังไม่เคยล้างเลย
... ทิ้งมันไป โยนมันไป ณ ขณะนั้น เราเป็นเพียง "ผู้ถือศีล 8" เท่านั้น
ถ้าเราทน ๆ ทำไป มันเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราทิ้่งความคิดที่เป็นอัตตาไป เราจะไม่รู้สึกทุกข์อะไรเลย จะเฉย ๆ กะมันมาก
(เขาว่าได้บุญ เพราะมันคือ "ทานละเอียด" ... ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อ "ทาน ศีล ภาวนา" ... ถ้ามีโอกาสอะนะ)

ล้างเท้าเสร็จ สิ่งที่ต้องทำคือ อุปถาก(เป็นคนรับใช้) ให้หลวงพ่อ เพราะบางทีจะมีคนมาเยี่ยม มาถวายของต่าง ๆ ... ถ้าคนถวายของให้เป็นผู้หญิง ก็ต้องเป็นคนประเคนให้หลวงพ่อแทน (หลวงพ่อจะได้ไม่ต้องพกผ้ารับประเคน) และเผื่อมีผู้หญิงมาปรึกษาอะไรกะหลวงพ่อ เราจะทำหน้าที่เป็นไม้กันหมา ... พระห้ามคุยกะสีกาตามลำพังไง - -*
บางทีไม่มีใครมา ท่านก็ใช้ทำงานต่าง ๆ เช่น กวาดใบไม้ อะไรเทือกนี้

9 - 11 โมง ถวายภัตตาหารแก่สงฆ์ ก็คือให้เราไปนั่งฟังพระเทศน์ และถวายภัตตาหารต่าง ๆ จากนั้นจะได้เวลาฉันเพล
ซึ่งในวัดนี้ จะฉันเพลมื้อเดียว (ทั้งวันกินข้าวมื้อเดียว และห้ามกินนอกเวลาเพล) แปลว่า ต้องโกยให้ได้มากที่สุด เพราะตักได้ครั้งเดียว (ไม่ใช่บุฟเฟต์) นอกเวลาดื่มได้แต่ "โกโก้" และ "กาแฟ" แค่นั้นแล - -*
กินเสร็จ กลับไปอุปถากหลวงพ่อต่อ ... จนกว่าท่านจะให้เราไปพักผ่อนนั่นแหละ
"พักผ่อน" ที่ว่านี้ คือเราจะทำอะไรก็ได้ เช่น นอน (55+) หรือนั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญสติ

3 โมงเย็น ทำกิจวัตร ... ทำความสะอาดอีกรอบ
4 โมงครึ่ง เวลาน้ำปานะ คือน้ำผลไม้ที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อมัน หรือน้ำหวานต่าง ๆ
5 โมง อาบน้ำ
6 โมงเข้านั่งสมาธิ
1 ทุ่ม ทำวัตรเย็น
2 ทุ่ม อุปถากหลวงพ่อ จนกว่าท่านจะให้ไปพักผ่อน

...นั่นคือหมดวัน... วน loop ไป 7 รอบ =w=
จะเห็นได้ว่าชีวิตผ้าขาวมันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเลย เพราะไม่มีอะไรให้ทำเท่าไหร่ จะมาลำบากตอนตื่นมานั่งสมาธิ (ตี 3 )
และการอุปถากหลวงพ่อจะทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนใช้ทันที
ถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มันก็จะเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่ถือเมื่อไหร่ก็จะหมดทุกข์เมื่อนั้นแล =w= (จะกล่าวถึงอีกครั้งในหัวข้อ "อริยสัจ 4" ..ถ้ามีโอกาส)

ถ้าถามว่า ทำไมต้องครองผ้าขาวก่อน?
คำตอบคือ เพื่อสร้างพระที่มีความเป็นพระจริง ๆ เพราะจะได้ใช้ชีวิตแบบพระ และเรียนรู้การเป็นพระไปพร้อม ๆ กัน
... ปล. วัดที่ไปจำวัดอยู่เป็นวัดป่า ... เน้นปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้าจ้ะ

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

วันที่ 16 มกราคม 2554

ธรรมะโอวาทของ...หลวงพ่อชา สุภัทโท

✿.คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน........แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ

✿.คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน.........แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง

✿.คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน

วันสำคัญคือ เป็นวันครู
เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง
เป็นวันบวชพระพรพจน์ ฐิตปุญโญ (ผู้มีบุญตั้งอยู่ก่อนแล้ว)ที่วัดแพร่ธรรมาราม โดยมีพระอาจารย์กัณหา สุขกาโม หลานของหลวงพ่อชาเป็นพระอุปัชฌาย์

ในโอกาสนี้เลยได้ทำบูญยิ่งใหญ่หลายประการโดยเฉพาะการทำบุญกุศลในงานบวชที่เรียบง่ายตามแบบฉบับพระป่า เพื่ออุทิศบุญกุศลแด่พ่อที่เป็นครูของลูกตั้งแต่แรกเกิดจนวาระสุดท้ายของพ่อ อุทิศให้ครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว และถวายบุญกุศลแด่หลวงพ่อชา

ได้รับการเคาะหัวโดยพระอาจารย์กัณหาด้วยแหละ ได้พระพุทธชินราชที่พระอาจารย์ให้(ผู้อื่นให้อีกที)

อิ่มบุญ....อิ่มใจ....

ขอบคุณที่มีวันนี้.....



วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

สวัสดีปีใหม่ค่ะ...


ปีกระต่ายแล้ว....
ไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ แล้วใส่บาตรก่อนไปรับยายที่แพร่ น้ำหวานขับรถให้ มีลูกก็ดีอย่างนี้น้า ปีนี้รู้สึกชิวๆ ไม่มีอะไรครึกครื้น เรียบง่าย ใจสงบ ถึงแพร่หาอะไรกินแล้วไปวัดพระธาตุช่อแฮ พระธาตุปีเกิด ทำบุญซะหน่อย คนเยอะ แต่แม่ค้าขายลูกชิ้นบอกปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว ปีนี้คาดว่าพระธาตุแช่แห้งที่น่านน่าจะคนเยอะกว่าเพราะเป็นพระธาตุปีเกิดของกระต่าย หวังปีนี้คงไม่ใช่ปีขี้ตกใจอีกนะ อิอิ เพราะกระต่ายมักตื่นตูม
ปีนี้ตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน เพราะปีที่ผ่านมาทำมั่งไม่ทำมั่ง แต่พัฒนาการทางด้านจิตใจดีขึ้นนะ ปีนี้น่าจะพัฒนาได้อีก ...

ขออนุญาตอธิษฐานตามอย่างผู้ใช้นามว่า h35 จาก Polcady35.org ว่า

1. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอย ๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา โดยไม่ลงมือทำความดีหรือไม่เพียรพยายามสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไรก็ขอให้ได้เพราะได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด

2. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ซึ่งอาจ ด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใคร ๆ ด้วประการใด ๆ เลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด

3. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้

4. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้า ก็ดี มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิต ในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด

5. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน อย่าเป็นคนขี้บ่นในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้น ๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือสิทธิเหนือคนอื่น เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อนทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใด ๆ รวมทั้ง ขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด

6. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดีด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้ ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่ และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไรขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษา หรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่น ๆ แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติแม้ต่อเอกชนใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของถ้าเขาทอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภเพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย

7. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใคร ๆ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใคร ๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่ง จะชนะ ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งใน พระพุทธภาษิตว่า "ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข" ดังนี้เถิด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเมื่อใฝ่สงบแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้านไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยากหรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง

8. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝังความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรูที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความพินาศ ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิดขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่ว อีกเลย ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เหล่านั้น ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเองปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น

9. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็วเมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่าข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรืออาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย

10. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้เกี่ยวกับ คำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใคร ๆ แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก รู้เท่าโลกและขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เองและสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด.......”

สาธุ