วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปฏิบัติธรรมวัดแพร่ธรรมาราม ๓



...มาฆปุรณมีบูชา ... ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ 
น้อมปฏิบัติ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 

วันนี้ตั้งใจจะเนสัชชิก เพราะไหนๆก็ได้มาปฏิบัติตรงกับวันศีลใหญ่ คือ วันมาฆบูชาแล้ว เลยตั้งใจเป็นพิเศษ เช้านั่งสมาธิได้ดีเป็นพิเศษ จิตที่ฟุ้งซ่านคิดโน่น นี่ นั่น รวมตัวได้บางครั้งเห็นนิมิตดวงกลมๆสีเหลืองแผ่ซ่านออกจากตัว เย็นสบายบอกไม่ถูก ความคิดบอกว่าอยากให้พ่อแม่ได้สัมผัสความรู้สึกอย่างนี้มั่ง พอกำหนดจิตคิดให้พ่อกับแม่ สักพักดวงกลมๆนี่ก็หายไป นิวรณ์ความง่วงเริ่มเข้าแทรก เลยเปลี่ยนมาพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คราวนี้ความเย็นสบายเป็นดวงกลมขาวๆอีก จิตแว่บถึงลูกๆส่งความรู้สึกนี้ให้เขา ปรารถนาให้ลูกสุขเหมือนเรามั่ง ก็หายไปอีก คราวนี้เลยนั่งภาวนาพุทโธๆอย่างเดียว ดูลมหายใจพร้อมบริกรรมไปเรื่อยๆจนหมดเวลา พี่ปุ้ยบอกว่า นั่งนิ่งดีจัง ก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่มีเวทนาปวดแข้งปวดขาเลย จิตเป็นสุขอย่างประหลาด หลังกินข้าวเช้าแล้วยังอยากกลับไปนั่งสมาธิต่ออีกนะ ที่เขาว่าติดสุขจากสมาธิเป็นอย่างนี้นี่เอง

วันนี้คุณแม่ชียนต์เล่าเรื่องพญานาคให้ฟัง เหมือนนิทาน แต่ได้ความรู้ดีเพราะคุณแม่เป็นคนอิสาน เลยเล่าได้เป็นจริงจัง นาคมีทั้งเป็นนาคดี ปฏิบัติตามรอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้ากับนาคมิจฉาทิฏฐิที่ชอบเล่นของขลัง มีอิทธิฤทธิ์ ยังเรื่องคนลับแลอีกที่มีความเป็นทิพย์มาใส่บาตรให้พระอรหันต์ ถือศีลเคร่งครัด โดยเฉพาะไม่ชอบคนพูดโกหก ทั้งๆที่ก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน แต่ก็ยังชอบฟัง มือก็ทำงานเด็ดผัก หูก็เงี่ยฟังคุณแม่เล่า ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่กลายสภาพเป็นคนรุ่นเดียวกันเลย

ทำวัตรเย็นวันนี้ได้ไปศาลาพระสงฆ์ พระอาจารย์เอกราชนำสวด แล้วยังได้สวดชัยมงคลคาถาแบบอิสานเพราะๆ...นะโมเม..ด้วยนะ สวดเสร็จก็เวียนเทียนก่อนกลับมาศาลาอีกครั้ง แล้วพระสงฆ์ไปลงโบสถ์แม่ชีกับผ้าขาวก็นั่งสมาธิต่อ คราวนี้นั่งตั้งแต่สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม ยุงเยอะมาก อดทนต่อเวทนาที่ทั้งปวดขามากๆกับยุงที่เวียนกันเข้าออกดูดเลือด รู้สึกได้เลยว่า มันปักปากแหลมๆลงบนเส้นเลือดอย่างชำนาญเหมือนเราดูดเลือดคนไข้ แล้วก็ดูด..จึ้ดๆๆๆ...จิตปรุงแต่งว่าท้องมันป่องออกจนเต็มที่ ทั้งเจ็บทั้งคัน...ท้องเต่งจนดูดอีกไม่ไหวมันก็บินไปช้าๆ อีกตัวก็เข้ามาดูดอีก เป็นสิบๆตัวละมั้ง เพราะตอนเช้ามาเห็นจุดแดงๆเต็มทั้งสองแขน นึกไปนึกมาเราท่าจะไปคว่ำกะโหลกกะลาฆ่ายุงลายมาก่อน มันเลยมาแก้แค้นให้พวกมัน เอา..อโหสิแล้วกัน สรุปว่านั่งศาลาพระไม่เวิร์ค จิตไม่สงบเลย

สี่ทุ่มคุณแม่ชีธีพาเดินจงกรมที่ทางเดินเข้าวัด ท่านแข็งแรงมากแถมที่นี่เดินจงกรมจะเร็วมากไม่ยักจะต้องคอยนึกขว่าย่างพุท ซ้ายย่างโธ หรือ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เล่นจ้ำกันเลยพุทโธๆ แต่จิตก็นิ่งดี ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นได้เลย คราวนี้เดินตั้งชั่วโมงครึ่ง ครึ่งชั่วโมงหลังนี่คอยลุ้นว่าคุณแม่จะพาเลี้ยวกลับวัดหรือเปล่าเพราะเริ่มเมื่อยแล้ว แต่ก็ผิดหวังตั้งหลายรอบกว่าจะได้กลับ เห็นจิตที่แฟบ แล้วก็ฟูอยู่เป็นพักๆ สนุกดีเหมือนกัน
ทางเดินจงกรมหน้าวัด ยาวน่าดูเหมือนกัน

กลับจากเดินจงกรมเดินผ่านศาลาพระด้านหลัง เห็นไฟริบหรี่อยู่ข้างศาลา คุณแม่ถาม ใครอยากเห็นของจริงบ้าง พากันถามว่าอะไร ปรากฎว่าเป็นศพคนตายจะมาไว้ทำบุญพรุ่งนี้ เลยพากันเดินผ่าน ไปหาน้ำปานะกินกัน คุณแม่มีเอาเหรียญช็อกโกเลตมาโปรยให้แย่งเก็บกันด้วย เป็นที่สนุกสนาน

กลับไปนั่งสมาธิต่อที่ศาลาแม่ชี คราวนี้นั่งได้นานสงบจนถึงชั่วโมงครี่ง รู้สึกจิตแจ่มใสไม่ง่วงเลย ได้ตั้งจิตขออโหสิกรรมตามที่อ่านหนังสือของพระอาจารย์ภาสกร ภาวิไลด้วย ที่เชื่อว่าวันพระใหญ่ๆ ถ้าได้ตั้งจิตขอขมากรรมจะทำให้กรรมให้ผลด้านลบลดลง เจ้ากรรมนายเวรอโหสิให้ง่ายขึ้น เพราะจิตรับบุญกุศลได้เต็มที่ ทำแล้วรู้สึกสบายใจดี พอตีสองก็พากันไปที่ศาลาพระสงฆ์อีก แต่รู้สึกไม่มีสมาธิเลย เลยยอมแพ้ลืมตานั่งนิ่งๆดูลมหายใจตัวเองบ้าง ดูคนอื่นที่กำลังนั่งบ้าง เห็นพระค่อยๆเดินย่องๆมาทีละองค์ ก็รู้สึกขำเหมือนกัน ไม่รู้บาปหรือเปล่านะ เห็นมีคนโงกโอนไปเอนมาก็มี เออนั่นเนาะเรา ทนๆไปพอตีสี่ก็ทำวัตรเช้า คราวนี้แทบลืมตาไม่ขึ้น ปากก็สวดไปเพราะถ้าไม่สวดมีหวังกองอยู่ตรงนั้น  เสร็จแล้วไปกวาดลานวัดก่อนไปช่วยทำครัว วันนี้เบี้ยวดีกว่าชวนพี่ปุ้ยแอบไปนอนเพราะไม่ไหวแล้ว ไปนอนชั่วโมงครึ่งแล้วลุกมาช่วยทำครัวต่อ

สรุปเนสัชชิกสำเร็จอยู่ แต่ผู้รู้บอกว่าต้องรอฉันข้าวเช้าก่อนถึงจะไปนอนได้ จึงจะถือว่าสำเร็จ แป่วววว...เหอะแค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว โดยเฉพาะพี่ปุ้ยที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อนยังอยู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ต้นจนจบ ยังเด็กๆร่วมสหายเนฯด้วยกัน ถือว่าเก่งกันทุกคนแล้ว ก็น่าประหลาดอยู่เหมือนกันที่ได้นอนน้อยยังแจ่มใสไม่ง่วง ซึมเซา เสียแต่ท้องยังร้องไม่หายนี่แหละ เฮ้อ..

สหายร่วมเนฯ...น่ารักทุกคน...