วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำบุญวันออกพรรษา จากถ้ำเมืองนะถึงวัดถ้ำวัว เชียงดาว





ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
   ขอระลึกถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สิ่งที่ลูกบันทึกไว้นี้เพื่อความทรงจำที่ดี หากได้มีอะไรที่ล่วงล้ำก้ำเกินลูกขอกราบขอขมาลาโทษ อย่าได้มีกรรมมีเวรต่อกันและกันเลย

เช้าวันเสาร์ที่ ๑๙ ต.ค. ได้นัดหมาย อสม.ที่จิตเป็นกุศลร่วมกับน้องในฝ่ายออกเดินทางไปเชียงดาว ทั้งๆที่อากาศฝนฟ้าไม่ค่อยเป็นใจ แต่ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นและศรัทธาที่จะไปทำบุญ เลยทำให้การเดินทางราบรื่น ไปถึงเชียงดาวแวะบ้านญาติลุงบูรณ์ พี่ต๋อยและอ้ายวิทยาให้การต้อนรับที่อบอุ่นมาก แล้วยังร่วมเดินทางไปทำบุญร่วมกันอีก
วัดแรกไปวัดถ้ำเมืองนะ วัดหลวงตาม้า ไปถึงเกือบเที่ยงแล้ว รีบไปไหว้พระแล้วเข้าไปหาหลวงตาม้าที่เมตตาโยนสร้อยลูกประคำแขวนพระผงจักรพรรดิ์ใส่คอให้แต่ละคนอย่างแม่นยำ สนทนากับท่านได้เล็กน้อยก็ถึงเวลาที่ท่านต้องฉันเพล น้องพลอยแอบมากระซิบ " เหมือนกับท่านรู้และเมตตาพวกเรา เพราะปกติท่านต้องฉันสิบเอ็ดโมงครึ่ง" นั่นสินะ พี่ต๋อยที่อยู่เชียงดาวยังว่า พี่อยู่ที่นี่มานาน กำลังเจอท่านวันนี้ เคยมาหลายครั้งก็ไม่พบสักที ฟังแล้วก็รู้สึกปิติในใจที่ตั้งใจมาพบท่านก็ได้พบ ถึงแม้ว่าท่านจะเคยไปโปรดญาติธรรมที่โรงพยาบาลหลายครั้ง

ออกจากวัดถ้ำเมืองนะก็ไปสำนักวิปัสสนาภาวนาอนัตตาราม (ถ้ำวัว) 



ไปถึงเข้าไปสอบถามแม่ชีที่อยู่แถวนั้น บอกให้พวกเราไปหาเจ้าอาวาส ซึ่งก็คือ  หลวงพ่อธี วิจิตฺตธมฺโม  อายุ ๙๕ ปีแล้ว นับว่าเป็นบุญของพวกเราอย่างยิ่ง ท่านพูดภาษาไทยใหญ่ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง อาศัยถามจากคุณแม่ชีที่อยู่ใกล้ๆนั้น พอจับประเด็นได้บ้าง ลุงบูรณ์ขอท่านผูกด้ายสายสิญจ์ข้อมือให้ แต่ท่านตอบว่า "มันเป็นของหลอก ของปลอม พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำอย่างนี้ ด้ายก็เอาไว้ผูกแมวน่ะสิ..." (แมวตัวอ้วนของท่านนอนอยู่ใกล้ๆ พอท่านพูดถึง ก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เดินไปมา ท่านก็สั่ง นอนลง ๆ แปลกอีกเหมือนกันที่ท่านสั่งแมวได้ ปกติแมวไม่ใช่ฟังคำสั่งนะ ทาสแมวรู้ดี อิอิ) ท่านว่า "พม่าหลอกคนไทยน่ะสิ บอกว่าจะผูกข้อมือ หญิงซ้าย ชายขวา แล้วก็มัดมือไปประหาร " ท่านหัวเราะ หึๆ อย่างอารมณ์ดี ท่านบอกว่า คนไทยมีพระองค์ดำนะ ถึงเป็นไทยได้อย่างทุกวันนี้ ท่านสร้างพระบรมรูปเหมือนของสมเด็จพระนเรศวรไว้ที่วัดนี้ด้วย ท่านเล่าให้ฟังว่า พระไทยใหญ่กับพระไทยมีแตกต่างกัน อย่างท่านไม่ได้โกนคิ้ว ก็ไม่ได้เป็นพระปลอม อยู่ที่การปฏิบัติ ท่านเมตตาให้หนังสือมา ๓ เล่ม ย้ำให้อ่านให้เข้าใจโดยเฉพาะ "สัจจะสี่ชี้นำแสงสว่าง" สาธุๆๆ คิดไว้ว่าสักวันจะได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ เข้าไปในถ้ำพบผ้าขาวนั่งสมาธิในกลด บรรยากาศเยือกเย็น ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เสียงน้ำหยดติ๋งๆ น่ามาปฏิบัติธรรม


หลวงพ่อธี วิจิตฺตธมฺโม  ท่านยังแข็งแรง สอนกรรมฐานได้

กราบนมัสการลาท่านมาด้วยความอิ่มใจ ถึงฝนจะตก แต่พอมาถึงวัดก็หยุด บุญเหลือเกิน สาธุ...สาธุ...สาธุ...



วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปฏิบัติธรรมวัดแพร่ธรรมาราม ๓



...มาฆปุรณมีบูชา ... ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ 
น้อมปฏิบัติ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 

วันนี้ตั้งใจจะเนสัชชิก เพราะไหนๆก็ได้มาปฏิบัติตรงกับวันศีลใหญ่ คือ วันมาฆบูชาแล้ว เลยตั้งใจเป็นพิเศษ เช้านั่งสมาธิได้ดีเป็นพิเศษ จิตที่ฟุ้งซ่านคิดโน่น นี่ นั่น รวมตัวได้บางครั้งเห็นนิมิตดวงกลมๆสีเหลืองแผ่ซ่านออกจากตัว เย็นสบายบอกไม่ถูก ความคิดบอกว่าอยากให้พ่อแม่ได้สัมผัสความรู้สึกอย่างนี้มั่ง พอกำหนดจิตคิดให้พ่อกับแม่ สักพักดวงกลมๆนี่ก็หายไป นิวรณ์ความง่วงเริ่มเข้าแทรก เลยเปลี่ยนมาพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คราวนี้ความเย็นสบายเป็นดวงกลมขาวๆอีก จิตแว่บถึงลูกๆส่งความรู้สึกนี้ให้เขา ปรารถนาให้ลูกสุขเหมือนเรามั่ง ก็หายไปอีก คราวนี้เลยนั่งภาวนาพุทโธๆอย่างเดียว ดูลมหายใจพร้อมบริกรรมไปเรื่อยๆจนหมดเวลา พี่ปุ้ยบอกว่า นั่งนิ่งดีจัง ก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่มีเวทนาปวดแข้งปวดขาเลย จิตเป็นสุขอย่างประหลาด หลังกินข้าวเช้าแล้วยังอยากกลับไปนั่งสมาธิต่ออีกนะ ที่เขาว่าติดสุขจากสมาธิเป็นอย่างนี้นี่เอง

วันนี้คุณแม่ชียนต์เล่าเรื่องพญานาคให้ฟัง เหมือนนิทาน แต่ได้ความรู้ดีเพราะคุณแม่เป็นคนอิสาน เลยเล่าได้เป็นจริงจัง นาคมีทั้งเป็นนาคดี ปฏิบัติตามรอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้ากับนาคมิจฉาทิฏฐิที่ชอบเล่นของขลัง มีอิทธิฤทธิ์ ยังเรื่องคนลับแลอีกที่มีความเป็นทิพย์มาใส่บาตรให้พระอรหันต์ ถือศีลเคร่งครัด โดยเฉพาะไม่ชอบคนพูดโกหก ทั้งๆที่ก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน แต่ก็ยังชอบฟัง มือก็ทำงานเด็ดผัก หูก็เงี่ยฟังคุณแม่เล่า ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่กลายสภาพเป็นคนรุ่นเดียวกันเลย

ทำวัตรเย็นวันนี้ได้ไปศาลาพระสงฆ์ พระอาจารย์เอกราชนำสวด แล้วยังได้สวดชัยมงคลคาถาแบบอิสานเพราะๆ...นะโมเม..ด้วยนะ สวดเสร็จก็เวียนเทียนก่อนกลับมาศาลาอีกครั้ง แล้วพระสงฆ์ไปลงโบสถ์แม่ชีกับผ้าขาวก็นั่งสมาธิต่อ คราวนี้นั่งตั้งแต่สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม ยุงเยอะมาก อดทนต่อเวทนาที่ทั้งปวดขามากๆกับยุงที่เวียนกันเข้าออกดูดเลือด รู้สึกได้เลยว่า มันปักปากแหลมๆลงบนเส้นเลือดอย่างชำนาญเหมือนเราดูดเลือดคนไข้ แล้วก็ดูด..จึ้ดๆๆๆ...จิตปรุงแต่งว่าท้องมันป่องออกจนเต็มที่ ทั้งเจ็บทั้งคัน...ท้องเต่งจนดูดอีกไม่ไหวมันก็บินไปช้าๆ อีกตัวก็เข้ามาดูดอีก เป็นสิบๆตัวละมั้ง เพราะตอนเช้ามาเห็นจุดแดงๆเต็มทั้งสองแขน นึกไปนึกมาเราท่าจะไปคว่ำกะโหลกกะลาฆ่ายุงลายมาก่อน มันเลยมาแก้แค้นให้พวกมัน เอา..อโหสิแล้วกัน สรุปว่านั่งศาลาพระไม่เวิร์ค จิตไม่สงบเลย

สี่ทุ่มคุณแม่ชีธีพาเดินจงกรมที่ทางเดินเข้าวัด ท่านแข็งแรงมากแถมที่นี่เดินจงกรมจะเร็วมากไม่ยักจะต้องคอยนึกขว่าย่างพุท ซ้ายย่างโธ หรือ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เล่นจ้ำกันเลยพุทโธๆ แต่จิตก็นิ่งดี ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นได้เลย คราวนี้เดินตั้งชั่วโมงครึ่ง ครึ่งชั่วโมงหลังนี่คอยลุ้นว่าคุณแม่จะพาเลี้ยวกลับวัดหรือเปล่าเพราะเริ่มเมื่อยแล้ว แต่ก็ผิดหวังตั้งหลายรอบกว่าจะได้กลับ เห็นจิตที่แฟบ แล้วก็ฟูอยู่เป็นพักๆ สนุกดีเหมือนกัน
ทางเดินจงกรมหน้าวัด ยาวน่าดูเหมือนกัน

กลับจากเดินจงกรมเดินผ่านศาลาพระด้านหลัง เห็นไฟริบหรี่อยู่ข้างศาลา คุณแม่ถาม ใครอยากเห็นของจริงบ้าง พากันถามว่าอะไร ปรากฎว่าเป็นศพคนตายจะมาไว้ทำบุญพรุ่งนี้ เลยพากันเดินผ่าน ไปหาน้ำปานะกินกัน คุณแม่มีเอาเหรียญช็อกโกเลตมาโปรยให้แย่งเก็บกันด้วย เป็นที่สนุกสนาน

กลับไปนั่งสมาธิต่อที่ศาลาแม่ชี คราวนี้นั่งได้นานสงบจนถึงชั่วโมงครี่ง รู้สึกจิตแจ่มใสไม่ง่วงเลย ได้ตั้งจิตขออโหสิกรรมตามที่อ่านหนังสือของพระอาจารย์ภาสกร ภาวิไลด้วย ที่เชื่อว่าวันพระใหญ่ๆ ถ้าได้ตั้งจิตขอขมากรรมจะทำให้กรรมให้ผลด้านลบลดลง เจ้ากรรมนายเวรอโหสิให้ง่ายขึ้น เพราะจิตรับบุญกุศลได้เต็มที่ ทำแล้วรู้สึกสบายใจดี พอตีสองก็พากันไปที่ศาลาพระสงฆ์อีก แต่รู้สึกไม่มีสมาธิเลย เลยยอมแพ้ลืมตานั่งนิ่งๆดูลมหายใจตัวเองบ้าง ดูคนอื่นที่กำลังนั่งบ้าง เห็นพระค่อยๆเดินย่องๆมาทีละองค์ ก็รู้สึกขำเหมือนกัน ไม่รู้บาปหรือเปล่านะ เห็นมีคนโงกโอนไปเอนมาก็มี เออนั่นเนาะเรา ทนๆไปพอตีสี่ก็ทำวัตรเช้า คราวนี้แทบลืมตาไม่ขึ้น ปากก็สวดไปเพราะถ้าไม่สวดมีหวังกองอยู่ตรงนั้น  เสร็จแล้วไปกวาดลานวัดก่อนไปช่วยทำครัว วันนี้เบี้ยวดีกว่าชวนพี่ปุ้ยแอบไปนอนเพราะไม่ไหวแล้ว ไปนอนชั่วโมงครึ่งแล้วลุกมาช่วยทำครัวต่อ

สรุปเนสัชชิกสำเร็จอยู่ แต่ผู้รู้บอกว่าต้องรอฉันข้าวเช้าก่อนถึงจะไปนอนได้ จึงจะถือว่าสำเร็จ แป่วววว...เหอะแค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว โดยเฉพาะพี่ปุ้ยที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อนยังอยู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ต้นจนจบ ยังเด็กๆร่วมสหายเนฯด้วยกัน ถือว่าเก่งกันทุกคนแล้ว ก็น่าประหลาดอยู่เหมือนกันที่ได้นอนน้อยยังแจ่มใสไม่ง่วง ซึมเซา เสียแต่ท้องยังร้องไม่หายนี่แหละ เฮ้อ..

สหายร่วมเนฯ...น่ารักทุกคน...

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปฏิบัติธรรมวัดแพร่ธรรมาราม ๒



วันที่ ๒ ตื่นตีสองครึ่ง อากาศหนาวมากดีที่เอาเสื้อแขนยาวสีขาวมาด้วย สงสารแต่พี่ปุ้ยคงจะหนาว จะเอาเสื้อให้ใส่ก็คงได้ครึ่งตัวละมั้ง อิอิ ล้อเล่นนะคะพี่ปุ้ย ล้างหน้าแปรงฟันก็เดินออกจากบ้านไปศาลาแม่ชี ตีสามพอดี พระเพิ่งเคาะระฆังเตือน ไปนั่งสมาธิอีก ๑ ชั่วโมง สวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้วก็ให้เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิตามอัธยาศัย จนกระทั่งตีห้าก็กวาดลานวัด โหย...ใบมะขามนี่เล็กๆแต่กวาดให้เอี่ยมค่อนข้างยาก ยังใบไผ่ที่ร่วงลงมาอีก แถมกวาดเสร็จร่วงตามหลังอีกตรึม ขันติๆๆๆ ฟังธรรมะไปด้วยกวาดไปด้วย เห็นใจที่กำลังจะแกว่งไปตามอารมณ์ เลยต้องสงบจิตสงบใจ เห็นลานวัดสะอาดไม่มีใบไม้ ก็เห็นใจที่ฟูอีก เออ ฟูๆแฟบๆไปเถอะนะใจ

กวาดเสร็จล้างมือไปช่วยโรงครัวเตรียมอาหาร เด็ดๆหั่นๆ เห็นความพิถีพิถัน ซึ่งคุณผ้าขาวทั้งหลายก็บอกว่า เราทำให้พระฉันต้องประณีต ไม่ใช่สักแต่ทำลวกๆ ก็จริงของเค้านะ มะเขือก็ต้องเอาที่ดำๆออก ไม่ใช่หั่นไปทั้งหมด โธ่ คุณป้าขา ข้าเจ้าแก่แล้ว ตาก็ไม่ดี หลงๆไปบ้างไรบ้างก็อย่าดุนักเลย แม่ครูโอ่งว่า เหอะๆผิดเป็นพยาบาลละ ไม่ใช่ผิดเป็นครูเด้อ น่านนน ไม่ได้ช่วยกันบ้างเลยนะคะแม่ครูขา เห็นใจที่ขุ่นเล็กๆอีกแล้ว ปล่อยๆไปบ้างก็ใสขึ้นอีกละ เออ ก็เป็นบทฝึกจิตใจอีกเหมือนกันนะ

เช้านี้ไปขออนุญาตคุณแม่ชียนต์ออกไปซื้อข้าวใส่บาตรที่ตลาด ที่จริงกะไปส่งพี่ปุ้ยซื้อสะไบด้วย เพราะสะไบที่ใช้อยู่มันลื่น เดี๋ยวก็หลุดๆ ไม่รู้ว่าเอารถยนต์ออกไปได้ เลยพากันเดินออกไป ไกลเหมือนกันนิ ไปก่อนหกโมงครึ่งเพราะพระจะออกเดินบิณฑบาตรเวลานี้ ซื้อข้าวที่ร้านในตลาดใส่โถให้พร้อมทัพพี ไปแวะซื้อดอกไม้กับขนม ยาคูลย์ ก่อนมานั่งรอที่หน้าธนาคาร วันนี้พระอาจารย์เอกราชออกบิณฑบาตรด้วย  ก็เห็นปกติดี พอใส่บาตรเสร็จก็แอบแวะหากาแฟทานสองคนพี่ปุุ้ยด้วย แม่ค้าบอกเป็นน้ำๆได้ พระอาจารย์สั่งไม่ให้ซื้อของขบเคี้ยว ปาท่องโก๋ก็ไม่ได้ เจ้าค่ะๆ รับทราบเจ้าค่ะ รีบๆซดกาแฟแล้วรีบไปซื้อสะไบก่อนพระอาจารย์จะพาคณะสงฆ์มาเจอนั่งเจี๋ยมเจี๊ยมไม่กลับไปวัดซักที

ถึงวัดไปช่วยกันยกอาหารขึ้นศาลาเตรียมฉัน แล้วรีบไปศาลาพระสงฆ์ ฟังเทศน์จากพระที่เทศน์เกี่ยวกับอริยทรัพย์ ๗ ประการ ได้แก่
1. ศรัทธา - เชื่อว่าทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว ตั้งมั่นที่จะสร้างความดี
2. ศีล - รักษากายวาจาให้เรียบร้อย  ให้เป็นปกติ
3. หิริ - ละอายใจตัวเองต่อการกระทำความชั่ว 
4. โอตตัปปะ - สะดุ้งกลัวต่อผลของความชั่ว 
5. พาหุสัจจะ - สนใจในการสดับตรับฟัง ศึกษาความรู้อยู่เสมอ 
6. จาคะ - เสียสละแบ่งปัน มีน้ำใจ
7. ปัญญา -รู้บาปบุญคุณโทษ รู้ดีรู้ชั่ว สามารถพิจารณาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง

กลับจากศาลาพระสงฆ์ก็ปฏิบัติกิจวัตรเหมือนเมื่อวาน แต่พิเศษกว่าที่พรุ่งนี้เป็นวันมาฆบูชา จะมีคณะผ้าป่ามาจากรุงเทพฯ เลยต้องเตรียมทำอาหารพรุ่งนี้เยอะขึ้นกว่าเดิม
วันนี้มีเพื่อนกระรอกมาเยี่ยมๆมองๆ น่ารักดี ไม่มีอะไรให้กินนะ อีกบ้านเขาเอากล้วยให้กินแล้ว


ปฏิบัติธรรมวัดแพร่ธรรมาราม ๑


ปีนี้ตั้งใจไปปฏิบัติธรรมที่วัดแพร่ธรรมาราม วัดที่มีหลวงพ่อกัณหาเป็นเจ้าอาวาส แต่มีพระอาจารย์เอกราชเป็นประธานสงฆ์ดูแลอยู่ แล้วพระอาจารย์เอกราชก็อาพาธเพราะทำงานหนัก (คุณผ้าขาวที่อยู่วัดบอก) ก็เลยต้องให้พระอาจารย์ต้องน้องพระอาจารย์เอกราชดูแลเรื่องในวัดอีกที ความจริงพระอาจารย์เอกราชก็ยังทำงานได้เพียงแต่ท่านมุมานะมาก หลวงพ่อใหญ่เกรงจะไม่หายซักทีเลยต้องขอให้ท่านหยุดพักบ้าง(อ้างอิงจากคุณผ้าขาวอีกทีค่ะ)

สรุปว่าสองคนกับพี่ปุ้ยไปปฏิบัติธรรมโดยไปขอคุณแม่ชียนต์ก่อน พอท่านอนุญาตก็ไปขอศีลจากพระอาจารย์โอ(พระอาจารย์ต้องไม่อยู่) ในตอนเช้าแปดโมงพร้อมกัน ๙ คน มีพานดอกไม้ ๑ พานแล้วเดินขบวนไปนั่งแถว ขอศีลแปด พอดีท่องไปก่อนเลยไม่มีปัญหาอะไร แล้วท่านก็ให้โอวาทว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ให้ช่วยกันทำงานให้วัดไม่ว่าทำครัว กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ก็เป็นบุญเป็นกุศลทั้งสิ้น จากนั้นก็ตามคุณผ้าขาวไปช่วยเตรียมอาหารขึ้นชั้นบนสำหรับถวายพระ ก่อนไปศาลาฟังพระเทศน์ แล้วกล่าวคำถวายสังฆทานก่อนลงมาเอากะละมังขึ้นไปศาลาแม่ชี ศาลานี้จะใช้เป็นทั้งกินข้าว ปฏิบัติธรรม ทำวัตรเช้า-เย็น ที่อ่านหนังสือธรรมะ
ผ้าขาวบวชใหม่นั่งรอสัญญาณระฆังไปตักอาหาร


พอสัญญาณระฆังดังจากคุณแม่ชีหัวแถว ทุกคนก็กราบพระสามครั้งก่อนลุกขึ้นเดินแถวไปตักอาหารใส่กะละมังของใครของมัน อาหารเยอะล้วนแต่เจทั้งนั้น ทั้งจากที่บิณฑบาตรมาและผ้าขาวแม่ชีทำจากโรงครัว เลือกตักที่ต้องการกิน แต่ดูท่าทางจะเผ็ด บางอย่างก็หน้าตาแปลกๆไม่กล้าตัก เลยได้มาไม่กี่อย่างรวมๆในกะละมัง พอถึงที่นั่งก็ต้องนั่งรอจนกว่าจะได้สัญญาณอีกครั้ง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณผู้ให้อาหาร(ในใจ)แล้วถึงตักอาหารเข้าปากได้ แรกๆไม่เผลอเลย พอวันสุดท้ายก่อนกลับลืมตัวหยิบปาท่องโก๋แทะเล่นก่อนได้รับสัญญาณเลยโดนเตือน อิอิ เสียฟอร์มเลย...

กินข้าวเสร็จต้องไปล้างกะละมัง ก่อนกลับไปบ้านพักที่ตอนแรกได้อยู่ห้องโถงใหญ่รวมกับเด็กๆ แต่ขออนุญาตคุณแม่ไปอยู่บ้านที่สงบหน่อย เลยได้หลังติดกับสระน้ำหลังสุดท้าย ไกลหน่อย แต่สัปปายะดี โล่ง กว้างพอที่จะนอนได้สักสิบคนมั้ง แต่นอนสองคน เลยสบาย มีทางเดินจงกรมอยู่ข้างบ้านด้วย เหมาะเหม็งเลย



๑๑.๐๐ น. ไปลงชื่อเข้าชั้นเรียน เอ๊ย นั่งสมาธิ ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง วันแรกพอนั่งได้ กายสงบใจไม่สงบ คิดโน่น นั่น นี่ นู่น โอ๊ยสารพัด นาฬิกาก็ขยันตีบอกเวลาจัง ทุกสิบห้านาทีเลย พอหมดเวลาค่อยโล่ง กลับบ้าน แต่ยังขยันนั่งต่ออีกนะ สงบใช้ได้ มีงูตัวเล็กมาเยี่ยมด้วย เลยบอกว่ามาดีนะ มาปฏิบัติธรรมเดี๋ยวแบ่งบุญให้ เลยเลื้อยหายไป แอบไปงีบนิสสนึง ปลุกเวลาไว้ก่อนสามโมงเพราะต้องไปกวาดถนนหน้าศาลาแม่ชี แล้วถึงไปกินน้ำปานะ ก่อนช่วยกันเตรียมอาหารสดที่จะทำกับข้าวพรุ่งนี้ ซึ่งที่นี่จะพิถีพิถันเรื่องการทำอาหารมาก เหมือนแดจังกึมเลย แต่ตอนนี้มึนจังแก เพราะโดน "แหบ"หลายอย่าง ห้าๆๆๆ ค่อยเล่าพรุ่งนี้นะ

๑๗.๐๐ น. ไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปลงชื่อทำวัตรเย็นนั่งสมาธิก่อน ๑ ชั่วโมง แล้วสวดวัตรเย็น ก่อนนั่งสมาธิอีกจนถึงสามทุ่มถึงกลับบ้านพัก

หลับแระ...ออมแรงไว้ เด๋วตื่นตีสองครึ่ง ว่าแต่ว่าหิวนะ ท้องร้องจ๊อกๆ  ...น้อยไป...โครกครากๆดังๆเลย

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สวดชัยมงคลคาถา


เสียงพระอาจารย์เอกราช วัดแพร่ธรรมาราม  อ.เด่นชัย จ.แพร่ ไพเราะมาก สวดชัยมงคลคาถาค่ะ...

ขอบคุณเสียงจาก http://www.jaiphensook.net/
หากไม่สมควรจะแจ้งให้ลบก็ได้นะคะ เพราะไม่ทราบว่ามีลิขสิทธิ์หรือไม่ เพียงแต่ฟังแล้วไพเราะ อยากให้โอกาสคนอื่นได้ฟังต่อบ้าง สำหรับรูปภาพพระอาจารย์ได้ถ่ายมาตอนที่ไปเยี่ยมที่วัดค่ะ ปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็จะไปปฏิบัติธรรม คิดว่าจะถือโอกาสขออนุญาตด้วยเลย

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

รวบรวมวาทะ อ.ดังตฤณ : [ 11 ] : ความโกรธ - การให้อภัย


• ถ้าปากยังพ่นไฟ ใจก็ไม่มีทางเย็น

• โดนใช้อย่างขี้ข้า
น่าเสียใจน้อยกว่าเป็นข้าทาสของความโกรธ

• อายุบอกความแก่
การควบคุมอารมณ์บอกระดับอาวุโส

• เหตุเกิดจากไฟ
เราเลือกได้ว่าจะเป็นไฟ หรือน้ำนะ 
ถ้าเลือกเป็นไฟ ก็เผาใจตนเองและผู้อื่น 
ถ้าเลือกเป็นน้ำ ก็นำความเย็นสบายมาสู่สองฝ่าย

• ที่ใดมีใจรู้ ที่นั่นไม่มีใจร้อน

• ธรรมะมีหลายระดับ
ธรรมะใดปกป้องคุณ 
จากความโกรธความเกลียด
และการแบ่งข้างเพื่อฟาดฟันกันไม่ได้
ธรรมะนั้น
ก็ยังป้องกันคุณ 
จากการตายไปสู่ทุคติภูมิไม่ได้


• ความโกรธมีโทษทุกระดับ 
สถานเบาคือเผาใจให้เป็นทุกข์ 
สถานกลางอาจผลักดันให้สังหารผู้อื่น 
สถานหนักก็ถึงขั้นฆ่าได้ไม่เว้นแม้แต่ตนเอง !

: ไฟโกรธ คือบทลงโทษขั้นต้นของการขาดสติ
ไฟแค้นเป็นบทลงโทษขั้นกลาง
ไฟนรก เป็นบทลงโทษขั้นสุดท้าย
...และสิ่งที่จะถูกเผาผลาญก็ไม่ใช่อะไรอื่น
คือจิตวิญญาณของคุณเอง !!

• ผลของความเคียดแค้นคือใจที่ดำ 
และสิ่งเดียวที่จะได้รับจากความตายในขณะใจดำคือภพที่มืด

• ทุกคนย่อมบอกว่ารักชีวิต 
เห็นชีวิตตนเองมีค่ากว่าความเจ็บใจ 
แต่ความเจ็บใจของตนมักมีค่ากว่าชีวิตคนอื่นเสมอ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . .

• อย่าเกลียดใคร
เพราะคำอธิบายจากปากของเขา
จะเบากว่าคำด่าในหัวของเรา

• คนน่ารังเกียจอาจอยู่ข้างบ้าน
ในที่ทำงาน หรือแหล่งท่องเที่ยว
ถ้าคุณหาทางเป็นอิสระจากความเกลียดไม่ได้
โลกทั้งใบก็ไม่ต่างจากคุก

• คนเลวที่สุดในโลก
ไม่ใช่คนที่คุณพบว่าเขาทำเรื่องเลวกว่าใคร 
แต่เป็นคนที่คุณพบว่าเขา
ทำให้ใจคุณมืดดำด้วยความเกลียดมากกว่าคนอื่น

• ความเกลียดเป็นทุกข์ 
ยิ่งเกลียดคนอื่นมากขึ้นเท่าไร 
ใจคุณยิ่งเกลียดสภาพของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

• ที่สุดของการล้างแค้น
คือการรบกับความมืดในใจต่อ 

ทั้งก่อนและหลังการแก้แค้น
สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจเรามากที่สุดคือความเกลียด
ความมืดดำ อันเกิดจากความเกลียด
จะทำให้คุณพร้อมสร้างศัตรูใหม่ขึ้นมาได้ตลอดเวลา
ถ้าไม่ใช่คน ก็เป็นอารมณ์ร้ายของตัวเอง
อารมณ์ร้ายจะตามรบกวนคุณไม่ให้เป็นสุข
สู้ยาก ไล่ยาก
วิธีแก้แค้นที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่ทำให้ใครตาย
แต่เป็นการทำให้ความเกลียดจางหายไปจากใจเราเอง 

• เป็นไปไม่ได้
ที่จะอภัยศัตรูขณะถือความเกลียดเป็นมิตร
แต่เป็นไปได้ที่จะอภัยมิตร
ขณะถือความเกลียดเป็นศัตรู

• ความเกลียดเป็นเหมือนจุดด่างพร้อยในชีวิต
ลบไม่ได้ก็คล้ายชีวิตสะอาดขึ้นไม่ได้



• นิสัยไม่อยากเอาเรื่องเอาราวใคร
ทำให้คุณไม่ต้องเหนื่อยทำใจนักเมื่อต้องอภัย
แต่คุณก็จำเป็นต้องฝึกอภัยไว้มาก
กว่าจะสร้างนิสัยไม่อยากเอาเรื่องเอาราวใครได้เป็นปกติ

• ความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน
โดยเฉพาะตอนเอาชนะความเกลียด
และตอนเลิกถือสาหาความใครต่อใคร
เอาความเปรอะเปื้อนออกจากใจเสียได้

... ... ... ... ... ... ... ... ... ...

• คุณอาจโกรธโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่มีทางอภัยโดยบังเอิญ

• ความเจ็บใจที่มีแต่การนึกถึงใบหน้าคู่กรณี
จะยกระดับเป็นความอาฆาตแค้น
ความเจ็บใจที่ค่อยๆนึกถึงทางออกร่วมกัน
จะลดระดับลงเป็นความรู้สึกอภัยได้

• คนอารมณ์เย็นจริง ใช่ว่าไม่โกรธเลย
แต่เป็นคนที่เจอเรื่องกระทบแล้ว
เกิดความโกรธแล้ว
ไม่เห็นความโกรธเป็นตน
แต่เห็นความโกรธเป็นสิ่งดับได้อย่างรวดเร็ว

•  ถ้าอยากพูดด่าหรืออยากลงมือทำร้ายใคร
ตอนนั้นความโกรธ มีไว้ห้าม ไม่ใช่มีไว้ดู
แต่ถ้าแค่หงุดหงิดคิดไม่ดีกับใคร
ตอนนั้นความโกรธ มีไว้ดู ไม่ใช่มีไว้ห้าม

ฝึกอยู่อย่างนี้
ไม่ว่าจะโกรธหนักหรือโกรธเบา
จิตของคุณจะกลายเป็นนักดูความโกรธ
คุณสมบัติเด่นของนักดูความโกรธคือไม่ถูกความโกรธครอบงำ
แล้วก็ไม่พยายามครอบงำความโกรธด้วย
กระทั่งเหมือนแยกกันเป็นคนละฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งโกรธให้ดู อีกฝ่ายหนึ่งรู้ความโกรธไป

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

•  ความโกรธ ไม่ใช่สิ่งที่ห้ามได้ทันที
หรือว่าไปตัดมันทิ้งได้ทันที แต่เป็นสิ่งที่ ถูกรู้ได้ทันที

•  การยอมรับตามจริงคือการไม่ออกแรงเพิ่ม
ภาวะที่มันเกิดขึ้นแล้วเรายอมรับตามจริงคือภาวะที่เรามีสติเข้าไปแทนที่ความโกรธ

  • ฝึกยอมรับว่าเราโกรธ
เห็นความโกรธเหมือนโรค
ปล่อยได้ก็เป็นสุขได้
พอเป็นสุขได้เราจะอภัยให้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่หลอกตัวเองครับ

 • ระลึกไว้
ถ้าเกิดโทสะแล้วยอมรับตามจริง
ว่ามันแรงขึ้นได้ก็อ่อนลงได้
จิตไม่ย้อมติดกับโทสะได้
ก็แปลว่าไม่ถูกครอบงำจากปีศาจไหนๆได้

• วูบแห่งการเผลอตัว
ด่าคนแปลกหน้าบนท้องถนน
คือการเผลอใจไปเป็นปีศาจแปลกหน้าขึ้นมาชั่วขณะ

• โทสะแรงๆมีไว้กดข่ม
ก่อนด่าหรือลงมือลงไม้โทสะอ่อนๆมีไว้รู้ว่าไม่เที่ยง
ก่อนจะสำคัญว่ามันเป็นตัวเรา

• โกรธแล้วขาดสติ
แล่นตามความโกรธจะได้อกุศลจิตโกรธแล้วเกิดสติ
รู้ว่าความโกรธไม่เที่ยงจะได้มหากุศลจิต



• ผู้หวงความโกรธไว้
ได้ชื่อว่าหวงทุกข์ไว้
ผู้ยินยอมเปล่งคำพูด
และลงมือกระทำการเพื่อรับใช้ความโกรธ

ย่อมได้ชื่อว่ายังทำตัวเป็นบ่าวไพร่ของโทสะ
ยากจะเอาชนะ
เพื่อเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนายของกิเลส
ไม่อาจลิ้มรสความเยือกเย็นอันเป็นอมตะตามพระผู้สิ้นโกรธได้

: ปัญหาคือแม้คนเราจะเล็งเห็นโทษของความโกรธ
แต่ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ว่าจะเลิกโกรธไปทำไม
ในเมื่อโลกนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องน่าโกรธ
และน่าให้แสดงความโกรธอยู่ชั่วนาตาปี

: สรุปคือการรบกับความโกรธที่ดีที่สุด

"คือการไม่คาดหวังเอากับตัวเองว่าจะไม่โกรธ
และเมื่อโกรธแล้วก็ให้ยอมรับตามจริง
เมื่อยอมรับตามจริงก็ย่อมเห็นความจริงอันไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

: ทางที่ถูกต้องทำความเข้าใจไว้ให้ดีๆตั้งแต่แรกว่า
ความโกรธ ความขัดเคือง
หรือความเกลียดความกลัวทั้งปวงนั้น หาใช่ตัวเราไม่

: โทสะเป็นเพียงความกระเพื่อมไหวของจิต
มิใช่ตัวจิตเอง
เปรียบเหมือนคลื่นไม่ใช่น้ำ 
เป็นแค่อาการกระเพื่อมไหวของน้ำเท่านั้น 

: ขอเพียงทบทวนบ่อยๆ
ตั้งป้อมเป็นฝ่ายรู้ฝ่ายดู
ไม่ช่วยโหม ไม่ฝืนต้าน
เมื่อผ่านไปนานวันนานเดือนเข้า

ก็จะเห็นความก้าวหน้าอย่างเป็นไปเองทีละน้อย
นั่นคือคุณเรียนรู้ที่จะตั้งจิตไว้อีกแบบ ใช้ชีวิตอีกแบบ
เลิกยึดมั่นถือมั่นว่าคุณต้องดี คุณจะเอาดี

แต่เปลี่ยนเป็นรับสภาพตามจริงว่า
จิตไม่จำเป็นต้องดี จิตไม่ได้มีไว้เพื่อเอาดี
จิตเป็นเพียงธรรมชาติที่ถูกกระทบได้
เกิดความกระเพื่อมไหวได้ แล้วกลับสงบลงได้เอง

: ขอเพียงไม่เอา ‘ตัวคุณ’ เป็นที่ตั้งของการรบ
วันหนึ่งการรบจะสิ้นสุด
โดยไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ
มีแต่สภาพทุกข์คลี่คลายไปสู่ความดับสนิท เย็นสนิท
เป็นบรมสุขเหนือภาวะเร่าร้อนใดๆ

: "โกรธอย่างรู้ ดีกว่าหายโกรธอย่างไม่รู้"

 จาก
• คิดจากความว่าง 4
"รบกับความโกรธ อย่ารบกับตัวเอง"


• เวรที่ยืดเยื้อ เริ่มต้นจากเวรที่อภัยได้แล้วไม่อภัย

• อย่าถามว่าอภัยแล้วจะได้อะไรมา
ให้ถามว่าถ้าอภัยแล้วเป็นอิสระ
จากคุกร้อนๆที่ใจโดนขังอยู่จะเอาไหม

• ให้อภัยคนเลวหมดใจ 
แล้วจะรู้สึกว่าต้องไปเกี่ยวข้องกับคนเลวน้อยลง

•  อย่าเอาแต่สวดแผ่เมตตา
ให้ทำใจเป็นเมตตาด้วยความเข้าใจกันด้วย
ความเข้าใจนั่นแหละ
ที่ทำให้คนเรา อภัยได้จริง
ความเข้าใจนั่นแหละ
ที่ช่วยให้เรายัง มองหน้ากันได้ติด
และความเข้าใจนั่นแหละ
ที่จะยุติเรื่องเลวร้าย

. . . . . . . . . . . . . . . .

• การอภัยเป็นอะไรมากกว่าการแกล้งลืมครับ
มันคือการยกเอาโทษออกจากใจเราเอง
พอใจพ้นโทษจริง ก็พบความสุขแท้นะ

• การให้อภัยคือการไม่หวงอารมณ์โกรธไว้
ผู้ที่ฝึกให้อภัยไว้ก่อน
จึงกลายเป็นนักเจริญสติที่เห็นความไม่เที่ยงของความโกรธโดยง่าย

• เริ่มฝึกเมตตาตอนโกรธ
เห็นความโกรธเหมือนเชื้อโรคทางวิญญาณ
เป็นทุกข์ ไม่ควรอมไว้ด้วยใจ
พอคายออกได้ก็เป็นสุข ให้แผ่ความสุขนั้นนานๆ

• การให้อภัยของเราไม่ใช่ยางลบ
ที่ไปลบเจตนาร้ายของเขา
เมื่อเจตนาไม่ถูกลบ
ผลของเจตนาก็ต้องเกิด
เพียงแต่ถ้าเขาสำนึกผิดมันก็เบาบางลงได้ 


• การอภัยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม
การจองเวรสิต้องเสียยิ่งกว่าเดิมไม่รู้เท่าไหร่
ทั้งเวลา ทั้งกำลังกายกำลังใจ
บุญบาปทำหน้าที่อยู่แล้ว
เราปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างเอง
เดินเอง และเสวยผลเองน่ะดีที่สุด
ถ้าผูกใจเจ็บก็เท่ากับ
พลอยกระโจนไปร่วมรับบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง
บนเส้นทางของเขาด้วย

• การผูกกรรมมีความพิสดารลึกซึ้ง
เราคาดไม่ถึงหรอก
เรานึกว่าแค่ผูกใจเจ็บก็เป็นเรื่องส่วนตัวในใจ

แต่ความจริงมันเกิด กระแสเวรผูกพันระหว่างวิญญาณขึ้นมา
แม้เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาก็ตาม
เขาเป็นฝ่ายกระทำต่อเราวันนี้
อนาคตจะต้องมีเรื่องมีราวให้เรามีอำนาจเหนือกว่า
และกรรมเก่าจะยั่วยุให้เราคิดเอาคืนบ้าง
ซึ่งก็แปลว่าเราจะมีโอกาสทำบาป
และรับผลจากบาปนั้นคืนในกาลต่อไป

. . . . . . . . . . . . . .

• การอภัยในเรื่องน่าเจ็บปวดที่สุด ทำได้ยากที่สุด
จึงแทบจะเป็นการทำแต้มสูงสุดในเกมกรรม
และกล่าวได้ว่าเป็นการใช้หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ถ้าทำไม่ได้ก็น่าเห็นใจ
แต่หากทำได้ ก็ไม่มีบุญกุศลชนิดไหนๆอีกแล้วที่คุณจะทำไม่ได้

• ก่อนอื่นต้องมองว่าตอนใครทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจมากๆนั้น
คือรูปแบบหนึ่งของการโดนทวงหนี้
เมื่อมองอย่างนี้คุณจะเต็มใจให้อภัย
และทราบชัดจากความเบาหัวอก
ว่าหนี้เก่าถูกชำระแล้ว
อาจต้องผ่อนส่งหลายครั้ง
หรืออาจเหมารวบเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว

• สรุปคือเมื่อถูกทำให้แค้น
แล้วไม่คิดแก้แค้น
เรียกว่าเป็นการใช้หนี้

ขอให้จำไว้ว่า
คุณอาจโกรธโดยไม่ตั้งใจ
แต่ไม่มีทางอภัยโดยบังเอิญ
อย่างน้อยต้องมีสิ่งสะกิดใจ
หรือมีใจเปี่ยมเมตตาเป็นทุนอยู่ก่อน 

. . . . . . . . . . . . . . . . .

• คนโกรธยาก
คือพวกที่ไม่ทำให้โลกนี้แย่ลงกว่าที่เป็นอยู่
และเป็นพวกเดียวที่จะทำให้โลกนี้เย็นลงได้

• ถ้าสามารถช่วยคนที่ชอบได้จะเป็นสุข
ถ้าเต็มใจช่วยคนที่ไม่ชอบได้จะสุขกว่า
ถ้าพร้อมช่วยกระทั่งคนที่เกลียดได้จะสุขที่สุด

ดังตฤณ -

. . . . . . . . . . . . . . .

~ 『 TUNYAR 』~

• Admin Fanpage • 

- เรียบเรียง -

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

รับบุญ..รับปีใหม่ ๒๕๕๖


วันแรกของการทำงานในปีใหม่ พบปะเพื่อนร่วมงานแลกเปลี่ยนการแสดงความปรารถนาดี อวยพรปีใหม่กัน แล้วจู่ๆก็นึกถึงการไปกราบพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อรับพระธรรมคำสั่งสอนให้เป็นสิริมงคล เผื่อปะเหมาะเคราะห์ดีหลวงพ่อเมตตาได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติบ้าง เพราะส่วนตัวจะไม่ได้รับการอบรมในการปฏิบัติเข้มข้นหรือเข้าคอร์สใดๆ เนื่องจากตัวเองจะนิสัยเสียในการ Fixed idea ว่าภาวนาพุทโธ เคยไปเรียนสายหนอกับคุณแม่ชี รู้สึกว่าไม่ถูกจริต ตีกันให้ยุ่งไปหมด เลยปฏิบัติเองไปช้าๆ สงบมั่งไม่สงบมั่ง แต่ก็ไม่ได้เร่งรัดมาก อย่างไรก็ตามก็เพียรพยายามอยู่ อาศัยสัจจะที่ให้ไว้กับคุณดนัย จันทร์เจ้าฉายตอนรับ wrist band ขณะไป OD ที่อ่างขางว่า จะปฏิบัติให้ได้ทุกวัน 


นัดกับพี่ปึ้งกับอ้ายหล้าว่าจะไปใส่บาตรตอนเช้าที่วัดป่าหมู่ใหม่ กราบนมัสการหลวงพ่อประสิทธิ์ เลยออกบ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่ง แวะรับอ้ายหล้าก่อนไปรับพี่ปึ้งที่บ้าน ไปถึงวัดเจ็ดโมงพอดี หลวงพ่อไม่ได้บิณฑบาตร เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ เลยนำของที่เตรียมไปใส่ถาดที่โยมอุปัฏฐากนำไปถวายอีกที ดีใจที่ได้ไปเช้า เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีโอกาสได้ถวายภัตตาหารให้หลวงพ่อ ส่วนที่เหลือก็จัดใส่ถาดไปถวายพระสงฆ์ในศาลาฉัน รอรับพรพระ ระหว่างนั้นอ้ายหล้าก็กลายเป็นอ้ายหล้าปันเกย คุยกับคุณลุงที่ท่าทางจะคุ้นเคยกับกิจวัตรในวัดป่าหมู่ใหม่เป็นอย่างดี คุณลุงก็ได้กรุณาเล่าเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ฟังพร้อมคำแนะนำในการไปกราบหลวงพ่อ แล้วแถมแนะนำพระที่คุณลุงบอกว่า "ของจริง" ให้แวะไปกราบไหว้อีก แต่จำได้ไม่หมด แฮ่ะๆ
ภายในศาลาที่เป็นโรงฉัน
เวลา 8.45 น. อาหารที่จะประเคนเพียบ ทั้งที่พระไปบิณฑบาตรมา และญาติโยมมาถวาย


หลังจากพระให้พรเสร็จก็รีบพากันไปกุฏิหลวงพ่อประสิทธิ์ เพราะท่านจะลงให้ญาติโยมนมัสการไม่นานนัก เนื่องจากท่านอาพาธเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น นั่งนานไม่ได้ ไปกราบท่านเห็นท่านยิ้ม ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ถึงแม้ท่านไม่พูดก็รู้สึกปิติ อิ่มบุญอิ่มใจ ออกมาแวะศาลาที่มีอาหารเหลือจากพระสงฆ์ที่ท่านฉันแล้ว วันนี้วันพระ กินมังสวิรัติ เลยได้กล้วยน้ำว้ามา 2 ลูก มานั่งกินที่ม้าหินอ่อน นึกได้ว่าคุณลุงบอกว่า จะได้รับแจกรูปหลวงพ่อกับสติ๊กเกอร์ เลยกลับเข้าไปอีก เจอคุณป้าไพคนดีศรีล้านนาสาธารณสุขทักทายกันเล็กน้อยก่อนรีบกลับไปขอรูปหลวงพ่อ ได้มาสมความตั้งใจ เฮ้อ เกือบไปแล้ว อิอิ ไม่ได้รูปถ่ายจากกุฏิหลวงพ่อ เพราะมีป้ายติดห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพประกอบนะคะ

ออกจากวัดป่าหมู่ใหม่ คุณลุงบอกว่า ให้ไปนมัสการหลวงพ่อกวง ลูกศิษย์หลวงพ่อประสิทธิ์ อยู่ที่วัดป่านาบุญ เลยต้องรีบไปเหมือนกัน เพราะไม่งั้นท่านเข้ากุฏิปฏิบัติกรรมฐานแล้วกว่าจะออกรับญาติโยมอีกก็เย็น คงรอไม่ไหวแน่ ไปถึงวัดก็เจอหลวงพ่อพอดี ท่าทางท่านสบายๆอ่านหนังสืออยู่ ถวายสังฆทานแล้วก็สนทนาธรรมกับท่าน ท่านพูดเรื่องจิต เรื่องการภาวนา จากหนังสือที่ท่านกำลังอ่านอยู่ ตอนหนึ่งพูดเรื่องการอธิษฐานไม่ขอเกิดเป็นผู้หญิง ท่านก็เมตตาตอบว่า ถ้าไม่มีผู้หญิงก็เกิดลูกหลานไม่ได้ ทุกคนเป็นได้ทั้งหญิงทั้งชาย แล้วแต่บุญกรรมจัดสรรเป็นไป เหมือนพระพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ขณะนี้เป็นมหาสิริมายาเทพบุตรอยู่ รอเกิดเป็นพระพุทธมารดาพระศรีอริยเมตไตรย์ โห ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย เคยคิดว่า ท่านคงถึงนิพพานไปแล้ว แต่ยังรอเป็นพระพุทธมารดาอีกเหรอเนี่ย

หลวงพ่อกวงก็เหมือนหลวงพ่อประสิทธิ์ที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่ไม่มีป้ายห้าม พอขออนุญาตถ่ายรูปท่านก็ยิ้มๆ บอกว่า ถ่ายไปทำไมเยอะแยะ เอานี่ไปดีกว่า ปรากฎว่า ท่านให้รูปของหลวงพ่อประสิทธิ์ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่าน แสดงถึงความเคารพที่ท่านมีต่อพระอาจารย์ของท่านอย่างมาก หลวงพ่อกวงท่านก็มีความเมตตาอย่างยิ่งเหมือนกัน หน้าตาอิ่มเอิบยิ้มอยู่ตลอดเวลาทำความรู้สึกชุ่มชื่นใจ ปิติในใจลูกศิษย์ลูกหา ยังความกรุณาที่ท่านช่วยชงกาแฟสดแจกลูกศิษย์ญาติโยม(เพราะลูกศิษย์ชงแบบเก้ๆกังๆ ร้อนถึงท่านต้องลุกไปช่วย) แนะนำให้เติมโน่นนี่ กาแฟที่หอมหวล รสชาติอร่อยที่ท่านบอกว่า มีคนมาถวาย สตาร์บัคส์ก็มี ของอเมริกาก็มี นับว่าเป็นบุญอย่างยิ่งแล้วที่ได้ชิม อร่อยเหมือนน้ำทิพย์

พูดถึงธาตุขันธ์ของท่าน ถามว่า สบายดีหรือเปล่าเจ้าคะ สุขภาพเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า ก็ธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนต้องเจอ หลวงปู่มั่นยังว่าเวลามีคนจะถวาย อาหารเสริมหรือยาอายุวัฒนะ ท่านว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะรดน้ำตอไม้ที่แห้งแล้ว อ้ายหล้าว่าเห็นภาพเลย

นมัสการลาท่านมาด้วยความรู้สึกอิ่มบุญ อิ่มใจ และอิ่มท้องจากกาแฟทิพย์ของหลวงพ่อ
หลวงพ่อประสิทธิ์และหลวงพ่อกวง
ขอบคุณภาพจากเวปของวัดป่าหมู่ใหม่ เพราะไม่สามารถถ่ายรูปท่านมาได้ด้วยตนเองได้
ออกจากวัดป่านาบุญก็ไปวัดหลวงพ่อเปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก แต่ท่านเข้ากุฏิไปแล้ว เพราะเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว ถ้าจะมากราบท่านก็ต้องมาก่อนเก้าโมงครึ่ง แต่ไม่เป็นไร วันหลังค่อยมาใหม่ก็ได้เหมือนกัน เข้าไปไหว้พระที่ศาลมรรคแปด และไปนั่งสมาธิในวิหารกันก่อนออกจากวัด
ในศาลามรรคแปด
พระประธานในวิหารวัดอรัญญวิเวก

ขอน้อมนำบุญมาให้ทุกท่านด้วยนะคะ สาธุ...สาธุ...สาธุ