ยามทดท้อย่อย่นบนงานหนัก
เงยดูพักตร์พระฉายาลักษณ์ที่ข้างฝา
พระเสโทรินไหลพระกายา
ควรหรือข้าฯจะไม่เพียรพยายาม
ด้วยสมญา “ข้าราชการ”ของราชะ
จะลดละอย่างไรได้ไม่เกรงขาม
จะมุ่งมั่นฝ่าฟันไปให้ลือนาม
บำบัดความเจ็บไข้ของปวงชน
ก็คงทำได้แค่นี้ที่ทำได้
เพื่อชดใช้พระกรุณาอันพูนผล
พระเมตตาที่เราได้ยินยล
ธ ทรงดลบันดาลใจให้ทำดี...
“พี่ทมไปบอกพ่อหลวงนะ ขอนัดประชุมชาวบ้านให้หน่อย เกิดคนไข้ติดๆกันไม่ถึงอาทิตย์อย่างนี้ ถ้าไม่คุมให้ดีๆมีหวังระบาดระเบิดเถิดเทิงแน่...” ฉันเริ่มบงการ อสม. “ส่วนพวกเราอสม.หมู่บ้านเราทั้งหมดลงปฏิบัติภาคพื้นดิน ดูแลเรื่องคว่ำกะโหลกกะลาหน่อย เดี๋ยวข้าเจ้าจะออกสอบสวนโรค ไปพบกันในหมู่บ้านนะเจ๊า” หลังออกสอบสวนโรคและควบคุมดูแลภาชนะที่เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตอนกลางวันเรียบร้อยแล้ว พ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นห่วงลูกบ้านเลยขอประชุมค่ำวันนั้นเลย ฉันโทรฯไปบอกที่บ้านว่าจะกลับค่ำหน่อย ประชุมชาวบ้าน เลยอยู่ทั้งอย่างนั้นน้ำก็ไม่ได้อาบ คงเหม็นเหงื่อพิลึก หน้ามันเชียว
ฉันไปถึงศาลากลางบ้านที่นัดประชุม เห็นจำนวนชาวบ้านที่มาแล้วใจหาย มาน้อยเกินคาด ทั้งๆที่เราเป็นเดือดเป็นร้อน แต่ชาวบ้านไม่ตระหนักเลยหรือว่า อันตรายใกล้ตัว รู้สึกท้อ เหนื่อยแล้วก็หิว คิดน้อยใจว่า เวลานี้ควรเป็นเวลาที่อยู่กับครอบครัว ได้อาบน้ำ กินข้าวแล้วก็พักผ่อน น้ำตารื้นขึ้นที่หัวตา ลำคอตีบตันจนไม่อาจพูดออกมา เกรงชาวบ้านจะรู้ว่า “หมอ” จะร้องไห้ แต่พอดีสายตาเหลือบไปเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงที่ข้างฝา เห็นสายพระเนตรที่มองมา ใจชื้นขึ้น ก็เราเป็น “ข้าราชการ” นี่นะ เราก็ต้องทำงานสนองเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ให้เต็มที่ให้สมกับที่เราได้ปฏิญาณตนตอนเข้ารับราชการ พอคิดได้เลยฮึดสู้ ประชุมต่อจนแล้วเสร็จ ๓ ทุ่ม ได้ข้อตกลงและแนวทางการควบคุมโรคที่ชาวบ้านคิดเองแล้วจะทำเอง สุดท้ายชาวบ้านที่มาประชุมก็ขอบอกขอบใจที่เป็นห่วง บอกว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว เพราะหลังจากนั้น ไข้เลือดออกของหมู่ ๔ ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลยปีนี้ ก็คงต้องดูปีหน้าอีกทีนะ....