วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Life Practice Guidelines 1





ทำ...ในสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข
อยู่...กับคนที่ทำให้เธอยิ้มได้
หัวเราะ...ให้มากเท่ากับลมหายใจของเธอ
รัก...ให้ยาวนานตราบสิ้นชีวิต


credit: http://www.facebook.com/TheSocialButterflyCommunity ♥

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำสอนของครูบาอาจารย์ (๔)


พระอาจารย์สุโข กตปุญโญ

การบวชอยู่ที่บ้านทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าทำได้จริงก็จะมีผลดีมาก แต่ต้องอาศัยหลักธรรมที่เป็นเนื้อแท้ที่ชัดเจน เช่น อริยมรรคมีองค์ ๘ และอินทรีย์ทั้ง ๕ จะทำสมาธิหรือเจริญภาวนาอย่างไร ก็ต้องทำให้มีอินทรีย์ครบทั้ง ๕ ดังนี้

๑. มีสัทธา : เชื่อในธรรมเป็นเครื่องดับทุกข์ เช่น เชื่อสุดๆ ในศีล สมาธิ ปัญญา (อริยะอัฏฐังคิกมรรคมีองค์ ๘) ว่าธรรมเหล่านี้ดับทุกข์ได้จริง เป็นที่พึ่งได้จริง และให้เชื่อมั่นในตนเองว่าจะปฏิบัติธรรมเหล่านี้ได้ เชื่อมั่นในตนเองว่า ตนมีคุณธรรมที่จะดับทุกข์เหล่านั้นได้อย่าเพียงพอ

๒. มีวิริยะ : คือ มีความเพียร ความกล้าหาญ ยิ่งมีศรัทธาในธรรมะ หรือในตัวเองมาก่อน วิริยะก็จะเข้มแข็งถึงที่สุด เพราะอาศัยอำนาจของศัทธาเป็นพื้นฐาน กล้าหาญพากเพียรในการป้องกันไม่ให้ความชั่วร้าย หรือบาปอกุศลเกิดขึ้นในตน ส่วนบุญกุศลที่ยังไม่เกิดก็สร้างให้เกิดขึ้นมา ครั้งเกิดขึ้นแล้ว ก็รักษาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

๓. มีสติ เป็นธรรมะจำเป็นที่ต้องใช้ทุกกรณี ไม่ว่าที่ใหน อย่างไร ทุกเรื่องต้องควบคุมด้วยสติ เช่น กวาดบ้าน ล้างถ้วยชาม ซักผ้า ฯลฯ มีความสำรวมระวังในอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มีความสำรวมระวังในอายตนะภายนอก คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) อายตนะภายใน - ภายนอก มันเป็นคู่ติดต่อหรือกระทบกัน ทั้ง ๖ คู่นี้จัดอยู่ในฐานะสำคัญ ถ้าจัดการกับมันถูกก็ดีไป ถ้าจัดการกับมันผิด ก็เป็นเรื่องร้ายเหลือที่จะร้าย เราจึงควรศึกษาทำความรู้จักกับอายตะ ๖ คู่นี้ให้ดี

ยกตัวอย่างคู่แรก เช่น ตากระทบกับรูป มันก็เกิดวิญญานทางตา (เกิดการเห็นทางตา) คือ จักษุวิญญานแบ่งเป็น ๓ คือ ตาอย่างหนึ่ง รูปอย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณอย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณทำหน้าที่ทางตา นี้เรียกว่า จักษุสัมผัส จักษุสัมผัสมีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ทำหน้าที่รู้สึกอยู่ เรียกว่าผัสสะ เช่น เมื่อมีผัสสะทางตาแล้ว มันก็จะเกิดเวทนาคือ ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ หรือรู้สึกเฉยๆ ถ้าสติและตัวปัญญาที่อ่อน มันจะไม่หยุดแค่นี้ แต่มันจะเกิดอันอื่นต่อไปอีก คือ มีความยินดี ยินร้าย เมื่อสัมผัสนี้ไม่เป็นที่พอใจ หรือพอใจ ก็จะหลงอยู่ ทีนี้ก็จะเกิด โลภะ (โลภ) โทสะ (โกรธ) โมหะ (หลง) แล้วก็จะเกิดสิ่งต่อไปคือ ตัณหา เช่น อยากได้ อยากมี อยากเป็น, อยากจะฆ่าเสีย อยากทำลาย อยากผลักใส เมื่อมีความอยากแล้วก็จะปรุงต่อเป็นอุปทาน (ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน, มีอะไรเป็นของตน) ที่มันจะเป็นเรื่องสำหรับทุกข์ทรมานต่อไปอีก ฯลฯ

แต่ถ้ามีสติ มีปัญญา ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว ก็มีจะสติทันเวลา เมื่อมีอะไรมากระทบที่ตา ก็จะเป็นการกระทบที่ฉลาด คือสัมผัสด้วยสติ ไม่หลงปล่อยให้เกิดกิเลส แต่มันกลับรู้ว่าต้องทำอย่างไร แล้วมันก็จะทำในสิ่งที่ควรทำเกิดประโยชน์ ไม่เกิดโทษ

๔. มีสมาธิเอกัคคตาจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์ คือ จิตที่มุ่งเพียงสิ่งเดียว ตั้งอยู่ในสิ่งเดียว มุ่งต่อนิพพานเป็นอารมณ์เท่านั้นไม่มุ่งอย่างอื่น นี้คือ ใจความของสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ จะทำสมาธิแบบใหน กี่แบบ ต่างๆ กัน ก็ทำไปได้เลย การหวังพระนิพพานอยู่ตลอดเวลานั่นแหละคือ เอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ อยู่ที่บ้านก็ทำได้ ยิ่งกำลังเป็นทุกข์อยู่ก็ยิ่งชวนให้ทำ

๕. มีปัญญา คือ รู้สิ่งที่ควรรู้ ตามความเป็นจริงที่ดับทุกข์ได้ และควรรู้อยู่ตลอดเวลา เป็นอยู่ด้วยสติปัญญาว่า สิ่งนี้ควรทำอย่างไร แต่ระวังอย่าให้ความคิดประเภทยึดมั่น ถือมั่น ตัวตน ของตน ตนต้องได้ ตนจะอะไร เกิดขึ้นมา เช่น ทำงานออฟฟิต อย่าให้ความอยากจะได้ผลงานเร็วๆ ขึ้นมา นี้เป็นของผิด เพราะจะนำพาให้เกิดความหวัง เกิดกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นเรื่องทำให้ทุกข์ใจอีก อย่าประมาท เมื่อทำงานอยู่ก็มีปัญญาในงานที่ทำ เมื่อทำงานเสร็จก็ใด้ผลงานก็มีปัญญา อยู่ในการได้ผลงาน อย่าให้ใด้ผลงานด้วยกิเลสตัณหา

ดังนั้นขอให้ผู้ที่บวชอยู่ที่บ้านปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้เข้ากับการบวช โดยการ สมาทานสิกขาบทคือ ศัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ให้แทรกอยู่ในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดเต็มที่ แล้วก็จะได้เห็นผล สำเร็จสมปรารถนาแน่นอน....สาธุ เจริญธรรม