วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของสตังค์




สตังค์เป็นหมาที่เอามาโดยพ่อเอาใส่ถุงก๊อบแก๊บห้อยหน้ารถเครื่องมาแทนน้ำตาลที่ไปสู่สวรรค์
ตอนมาไม่ค่อยแข็งแรง ตัวผอม ตัวมีรอยไหม้เหมือนถูกไฟจี้เป็นจุด ๆ
คนที่ให้มาบอกว่า เอามาจากที่อื่นอีกที เขาให้นอนรอบกองไฟเพราะอากาศหนาว ไฟอาจกระเด็นเข้าใส่ได้
วันนั้นเลยรีบเอาไปหาหมอปากซอย ฉีดวัคซีน หยอดยากันก่อน
กลับมาบ้าน เอานอนในบ้าน แต่สตังค์คงกลัว ร้องอื้ดๆ พ่อเลยเอานอนด้วย เพราะแม่นอนกับถุงเงิน
สตังค์จะรู้อยู่ ไม่กวนเท่าไหร่ แม่มันจะคอยตื่นเอาไปฉี่นอกบ้าน หกโมงเช้าก็เอาไปอึ เหมือนฝึกเด็กเลย
สตังค์เลยไม่อึไม่ฉี่ในบ้าน จะร้องออกบ้านหากปวดอึปวดฉี่ จะรอนอนกับพ่อ เวลาพ่อกลับบ้านดึก
พอโตก็เอาออกไปนอนนอกบ้าน เพราะจะได้อาศัยเห่าเตือน ซึ่งสตังค์ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก
ตอนแรกๆ สตังค์กิน BARF แต่มีแต่คนว่าแม่มานจะให้หมาเป็นปอบ เลยต้มตับไก่คลุกข้าวให้ she ไม่ค่อยยอมกินอาหารเม็ดเลยอุตส่าห์ซื้อ Maxima ให้ สตังค์ชอบวิ่งมากและวิ่งได้เร็ว หน้าตาเหมือนอีที หูกาง ตัวผอมกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
มีวีรกรรมเยอะแยะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ โปรดติดตามตอนต่อไป

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของถุงเงิน




ถุงเงินเป็นแมวน้อยที่มาพร้อมกับถุงทอง ถุงเงินเป็นแมวสามสี เพราะงั้นจึงเป็นเพศเมียแหงมๆ หะแรกที่ได้มาก็เลี้ยงแบบปิด นอนในห้องไอติมอ้ายเก๊า(หมายถึงพี่คนโต) ซื้อทรายแมวไว้ให้ แต่สองพระหน่อก็เล่นทรายกระจุยกระจาย แถมกลิ่นยิ่งโตยิ่งอบอวล เลยปล่อยออกนอกบ้าน ถุงทองติดใจอิสระ ไปแล้วไปลับเลย มาเยี่ยมครั้งสุดท้ายก็หน้าเยินกลับมา แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย แงๆๆ คิดถึงถุงทอง
ส่วนเจ้าถุงเงินเป็นผู้หญิงก็มีผู้บ่าวแวะเวียนมาหาบ้าง แม่มานก็หวงซะ แล้วในที่สุดก็หนีไม่พ้น ท้องก่อนแต่ง ปิดแม่มานซะมิด แม่มานก็คิดว่าอ้วนธรรมดา เพราะฉีดยาคุมให้แล้ว ที่ไหนได้... วันหนึ่งแม่มานสังหรณ์ใจกลับบ้านตอนเที่ยง(ปกติไม่ค่อยกลับ) ถุงเงินมี เลือดเก่าไหลจากจิ๊มิ ตกกะใจ หอบเอาไปร้านหมอปากซอย เลยเอาไว้ที่นั่นเพราะหมอบอกว่า ท้องแล้วลูกอาจตายในท้อง มดลูกอาจเน่า ไอ๊ย่า ถุงเงินลูกแม่ ประชุมเสร็จตอนเย็นเลยแวะเอากลับบ้าน ได้ลูกกรอกแมวมา สองตัว เก็บไว้ไม่เป็นมันจะเน่าเลยเอาไปฝังข้างบ้าน ประคบประหงมถุงเงินจนเป็นปกติ ตานี้ไม่กลัวเรื่องท้องละ
แต่แล้ววันหนึ่งเคราะห์มาถึงขมึงทึงมา ถุงเงินถึงคราแย่งหัวปลา เอ้ย ไม่ใช่ ถุงเงินโดนลวดหนามเกี่ยวท้อง หนังฉีกฉากหวากเหวกไปครึ่งท้อง(มากมั้ยล่ะ อิอิ) แน่นอน คุณหมอเจ้าเก่าเดือดร้อนอีกแระ ไปคลินิคเกือบร้านปิดแล้ว คุณหมอไม่ได้ทานข้าว เย็บถุงเงินจนถึงสี่ทุ่ม สองชั่วโมงเลยนะ น่าสงสารจิงๆ เย็บเสร็จต้องระวังไม่ให้มันกัดแผลอีก ลำบากยากเข็ญเสียจริงลูกเอ๊ย เนี่ยบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระนะ รูปที่แปะมาพร้อมนี้จะเห็นแม่มานเสียสละเสื้อยืดทำเสื้อให้ใส่กันมานกัดแผล ดูเด่ะ วันดีคืนร้ายกัดแม่อีก เนรคุณจิงๆ แต่ถึงยังไงก็รักมานนิ

สมาธิ


รู้สึกตัวเองว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยงแล้วหนอ
ให้เวลากับตัวเองศึกษาธรรมะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ
ไม่คิดว่าตัวเองจะถึงจุดไหน
ทำเองมันก็เป็นปัจจัตตัง
แค่จิตใจสงบขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีกับตัวเอง
รู้ตัวว่านั่งทับหญ้าบ่อย ๆ
เผลอ หญ้าก็งอก ยิ่งมีปุ๋ยดี น้ำดี หญ้างอกเร็วมาก
กำลังพยายามกำจัดอยู่นะ

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ชมรมขนหัวลุก!!!!!


ใครตั้งชื่อชมรมก็ไม่รู้นะ สงสัยอาจารย์นิ่ม เหอ ๆๆ จากินตับ ว้าย!ไม่ใช่ผีปอบ แต่ก็จวนมั้ง เล่นสุมหัวกันเกือบทุกวัน ไม่มีสาระเลยนะทุกวันนี้ บล็อกก็อย่างนั้นแหละ ไม่มีสาระ เอาไว้ระบายอารมณ์เป็นส่วนใหญ่

วันนี้ตรวจคนไข้ทั้งวันคนเดียวอีกแหละ โดนตัดการสื่อสาร ไม่ได้ยินเสียงประกาศทีม HRD เข้าประชุมเลย กว่าพี่อ้อยจะโทรเรียกก็ประชุมไปครึ่งค่อน เข้าไปก็ทันสมาธิบำบัด เอ๊ย! นโยบายน่ะ ให้ทุกจุดงานเปิดซีดีให้คนไข้สงบจิตสงบใจก่อนรับการตรวจ คนตรวจก็สงบจิตสงบใจก่อนตรวจคนไข้
อืมม น่าจะได้ผลอยู่นะ ทุกวันนี้พอวันจันทร์รู้สึกเหมือนหินหนักๆทับหน้าอก พอวันศุกร์ก็กระดี๊กระด๊ากลับบ้าน
เนี่ย! จะได้ขึ้นเวรตรวจเช้าวันเสาร์อาทิตย์อีกแล้ว ในฐานะจบพยาบาลเวชปฏิบัติกะเค้า รายวะ เรียนก็ตังค์ส่วนตัวไม่ได้เป็นหนี้หลวงซะหน่อย เอาเปรียบกันนี่หว่า เฮอะๆ ทนเอาหน่อยน้า ดูเด่ะ ไม่วายจะบ่นอีกแระ
ช่างเถอะนะ ขอถูกหวยก่อนเต๊อะ จะนั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้าน ขี้เกียจทำงานชะมัด
นู๋ไม่อยากเป็นหัว..แว้วว หนักหัว หนักอกหนักใจ ใครจะรู้บ้างเนี่ย (เอาแระบ่นอีกแระ .. ขอสมาอาภัยเจ้าค่ะ ลืมตัว)

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

มะรุ 'รมณ์ไดน้อ

อืมม มะรุ อารมณ์ไหนนะเนี่ย
ตื่นมาเพราะเจ้าลูกถุงเงินคราง อืออ เป็นแมวทำไมไม่ร้องเมี้ยวละลูก ตัวก็หนักชะมัด เล่นขึ้นมาไต่หน้าอก อิแม่มานจะหายใจไม่ออกแล้ว " อ๊อก ๆๆ" งัวเงียเทข้าวให้แล้วนอนต่อ วันนี้วันเสาร์นะยะ ให้แม่นอนต่ออีกหน่อยจิ กำลังจะเคลิ้มๆ พ่อมันมาเบียด แบบแกล้ง โหย ตัวหนักกว่าถุงเงินอีก ช่างขัดขวางความสุขความเจริญซะจริ๊ง เลยต้องลุกจากเตียง ไม่งั้นมีรายการบ่นอีก ว่า ขี้เกียจตัวเป็นขน ถุงเงินขนมากกว่าเราอีก(โดนด่าทั้งแม่ทั้งลูกเพราะขี้เกียจทั้งคู่)

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

เข้า course สุนทรียสนทนา

เดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้า course สุนทรียสนทนา โดยคุณหมอวรวุฒิเป็นวิทยากร แรกๆ คิดว่าไม่น่าได้อะไร แค่"หุบปาก แล้วฟัง" แต่มาทบทวนตัวเองแล้ว รู้สึกว่าจะใจเย็นมากขึ้น ตัดสินผู้อื่นได้ยากขึ้น ไม่"โชะๆ"เหมือนก่อน แต่ก็รู้สึกกังวลว่า เอ๊ะ เรายอมคนอื่นมากไปหรือเปล่า ในสายตาคนอื่นเราอาจเหมือนคนโง่ที่ยอมทำอะไร ๆ ซะเองแทนที่จะพูดให้คนอื่นทำมั่ง แต่ในความคิดเรา การที่เราจะพูดให้คนอื่นฟังเรานั้น คนๆนั้นต้องอยู่ในภาวะที่จะรับฟังเราได้ด้วย ไม่งั้นก็ไม่มีผลอะไร เลยต้องยอมไปก่อน แต่คิดว่าเร็วๆนี้คงต้องใช้วิชาสุนทรียสนทนากันหน่อยล่ะ ดูซิว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า แต่สิ่งที่ได้จากการเข้า courseครั้งนี้ คือ การ ทบทวนตัวเอง อยู่กับตัวเองอย่างมีสติ ผ่อนคลายอารมณ์ตัวเอง ได้ดีขึ้น ขอบคุณโรงพยาบาลสารภีที่จัดการอบรมครั้งนี้ ขอบคุณตัวเองที่มีสติรับรู้แล้วปฏิบัติ ขอบคุณที่น้ำยังไม่เต็มแก้ว